Author: pure

  • กินร้อนช้อนกลาง.. ป้องกันเชื้อร้ายอีโคไล

    กินร้อนช้อนกลาง.. ป้องกันเชื้อร้ายอีโคไล

    กินร้อนช้อนกลาง.. ป้องกันเชื้อร้ายอีโคไล เชื้ออีโคไล เป็นเชื้อที่แพร่ระบาดและติดต่อกันได้ทางอาหารและน้ำ มีอาการถ่ายอุจจาระอย่างรุนแรง ปวดท้อง อาเจียน ถ่ายเหลวมีเลือดหรือมีมูกเลือด และมีอาการรุนแรงขึ้นขนาดไตวายและเสียชีวิตได้ เชื้ออีโคไลนี้เป็นโรคติดต่อทางเดินอาหารที่ร้ายแรง แต่ก็สามารถป้องกันได้ด้วยการระวังป้องกันดังต่อไปนี้ – ทานแต่อาหารที่ปรุงสุกใหม่ และไว้ใจว่าสะอาดเท่านั้น หรือหากเป็นอาหารที่ทำเก็บไว้ก็ควรอุ่นให้เดือนก่อนทานทุกครั้ง หลีกเลี่ยงอาหารดิบ ๆ สุก ๆ ที่อาจมีเชื้อร้ายหลบซ่อนอยู่ได้ – ผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ และเครื่องปรุงอาหารทั้งหมด ควรเลือกชนิดที่สะอาดและสดใหม่มาประกอบอาหาร ไม่ควรเลือกชนิดที่ไม่แน่ใจว่าเน่าเสียแล้วหรือไม่มาปรุงเด็ดขาด แม้จะมีราคาถูกก็ตาม – ล้างผักและผลไม้ให้สะอาด หากผักซ้อนเป็นชั้น ๆ ควรลอกหรือปอกเปลือกของผักหรือผลไม้ออกเป็นกลีบ ๆ หรือใบ ๆ แล้วตัดเล็มขอบรอบออก แช่น้ำไว้อย่างน้อย 30 oรที คลี่ใบเอานิ้วถูให้สะอาด หรือเปิดก๊อกน้ำให้น้ำไหลผ่านไว้อย่างน้อย 2 นาที ทั้งนี้สามารถใช้สารอื่น ๆ ช่วยล้างให้สะอาดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นน้ำส้มสายชู เบกกิ้งโซดา หรือเกลือ ฯลฯ – แยกอาหารดิบและอาหารสุกปรุงแล้วออกจากกัน รวมไปถึงมีด เขียง…

  • อาการปวดเมื่อยหลากหลายรูปแบบในผู้สูงวัย

    อาการปวดเมื่อยหลากหลายรูปแบบในผู้สูงวัย

    อาการปวดเมื่อยหลากหลายรูปแบบในผู้สูงวัย ผู้สูงวัยนั้นมักมีอาการปวดกล้ามเนื้อในรูปแบบและตำแหน่งที่แตกต่างกันไป โดยมากมักพบบริเวณ หลัง เอว คอ ขา น่อง และตามข้อต่อต่าง ๆ โดยอาการปวดเมื่อยเหล่านี้แบ่งออกตามสาเหตุคือ.. 1. ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อทั่วไป ซึ่งมักเจาะจงตำแหน่งได้ไม่ชัดเจน 2. ปวดจากเส้นเอ็น และจะปวดมากขึ้นหากมีการถูกกดทับหรือเคลื่อนไหว พบมากบริเวณ หัวไหล่ มือ ส้นเท้า และเอ็นร้อยหวาย 3. ปวดจากเส้นประสาทที่กดทับ มักจะปวดแสบร้อนไปตามเส้นประสาท หากมีอาการกดทับที่เส้นประสาทหลังจะปวดร้าวลงไปถึงน่องและปลายเท้า แต่หากเป็นเส้นประสาทที่คอถูกกดทับจะปวดร้าวลงไปที่แขนและมือ 4. ปวดเมื่อจากเส้นเลือดขอดบริเวณขา มักเป็นเวลาที่ต้องยืนนาน ๆ 5. ปวดเมื่อตามข้อต่อต่าง ๆ เช่น ข้อเข่า ข้อเท้า ยิ่งลงน้ำหนักมากก็ยิ่งปวด เดินก็ปวด พับหรืองอไว้ก็ปวด และมักปวดในเวลาที่เปลี่ยนท่าหรือปวดในเวลากลางคืน และเวลาที่อากาศเปลี่ยนแปลง ซึ่งสาเหตุของการปวดเหล่านี้ก็คือเกิดการอักเสบขึ้นบริเวณรอบ ๆ ข้อ, ยกของหนัก, อิริยาบถไม่เหมาะสม, อยู่ในท่าใดท่าหนึ่งนานเกินไป, ยืน เดิน นั่ง แล้วศีรษะงุ้มไปด้านหน้า, เกิดจากอุบัติเหตุ หกล้มหรือกระแทก รวมไปถึงเกิดจากโรคบางโรค…

  • อาการข้อเข่าเสื่อมในผู้สูงอายุ และคำแนะนำในการดูแล

    อาการข้อเข่าเสื่อมในผู้สูงอายุ และคำแนะนำในการดูแล

    อาการข้อเข่าเสื่อมในผู้สูงอายุ และคำแนะนำในการดูแล ในผู้สูงอายุนั้นที่มักจะพบกันบ่อย ๆ นอกจากโรคประจำตัวอื่น ๆ แล้วก็ยังมีอาการข้อเสื่อมและกระดูกพรุนที่พบได้บ่อยด้วยเช่นกัน มักเกิดกับข้อใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น ข้อต่อสะโพก ข้อกระดูกสันหลัง และข้อเข่า พบได้ในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย เพราะเป็นผลสืบเนื่องมาจากฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ขาดหายไป จนทำให้กระดูกพรุนและในวัยหนุ่มสาวไม่ค่อยได้ออกกำลังกายเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและกระดูกเอาไว้ พออายุมากเข้าจึงทำให้ข้อต่าง ๆ รับน้ำหนักส่วนเกินไม่ไหว เมื่อกล้ามเนื้ออ่อนแอลง ทำให้ข้อเสื่อมและเกิดความเจ็บปวดขึ้นมาได้ ซึ่งมีสัญญาเตือนด้วยอาการปวดดังต่อไปนี้ 1. มักมีอาการเจ็บแบบขัด ๆ จะปวดมากขึ้นเมื่อมีการใช้เข่า แต่เมื่อได้พักจะรูสึกสบายขึ้น แต่หากทิ้งไว้ไม่ดูแล หรือยังคงใช้งานอย่างต่อเนื่องก็อาจปวดมากจนเดินไม่ไหวก็ได้ 2. ข้อเข่าบวมขึ้น ยิ่งโดยเฉพาะเมื่อเข่าได้รับแรงกระแทกสูง เข่าจะปวดออกมาจนเห็นได้ชัด หากได้รับการรักษาก็อาจจะบรรเทาลง แต่หากกลับไปใช้งานหนักอีกก็สามารถบวมได้อีก 3. อาการเข่าอ่อน หรือเข่าฝืด มักจะเกิดขึ้นตอนที่เข่ายังไม่บวม ลุกนั่งลำบาก ต้องค่อย ๆ ยืดตัวยืน และค่อย ๆ ย่อตัวนั่งจึงจะนั่งลง บางรายเป็นมากจนหัวเข่าผิดรูปหรือเข่าโก่งก็มี ดังนั้นเมื่อมีสัญญาเตือนอาการข้อเข่าเสื่อมแล้ว ควรรีบดูแลตัวเองและเข้ารับการรักษา ก่อนที่จะรักษาได้ยากดังนี้ค่ะ – อย่าปล่อยให้น้ำหนักตัวมากหรืออ้วนเกินไป รักษาน้ำหนักให้สมดุ – พยายามอย่าใช้เข่าทำงานมากเกินไป เช่น…

  • น้ำตาล.. ทานอย่างไรไม่เสี่ยงสุขภาพแย่

    น้ำตาล.. ทานอย่างไรไม่เสี่ยงสุขภาพแย่

    น้ำตาล.. ทานอย่างไรไม่เสี่ยงสุขภาพแย่ ความจริงน้ำตาลเป็นอาหารหมู่เดียวกับข้าว แป้ง ซึ่งก็คือคาร์โบไฮเดรตชนิดหนึ่งนั่นเอง น้ำตาลนั้นจะให้พลังงาน 4 กิโลแคลอรี่ต่อน้ำหนัก 1 กรัม ตามหลักโภชนาการแล้วแต่ละวันเราสามารถบริโภคน้ำตาลได้ประมาณ 5-10% ของพลังงานที่ได้รับในหนึ่งวัน และควรทานให้น้อยพอ ๆ กับไขมันและโซเดียม โดยหากให้คิดเฉลี่ยออกมาง่าย ๆ เท่ากับว่าคนไทยสามารถบริโภคน้ำตาลได้ไม่เกิน 6 ช้อนชาต่อวันนั่นเอง และโดยมากก็มักจะลืมว่าน้ำตาลเป็นอาหารที่ให้พลังงานไม่ต่างกับข้าว และแป้ง จึงมักปรุงน้ำตาลลงไปในอาหารหรือขนมกันเพิ่มมาก ๆ แม้แต่น้ำตาลเพียงหนึ่งช้อนโต๊ะ (ซึ่งก็น้อยกว่าที่ใส่ในกาแฟเย็นหนึ่งแก้ว) ยังให้พลังงานมากขึ้นเกือบห้าสิบกิโลแคลอรี่ (ใกล้เคียงกับข้าวครึ่งทัพพี) เลยทีเดียว อีกทั้งยังไม่มีวิตามิน แร่ธาตุ หรือเส้นใยอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเลย การบริโภคน้ำตาลมากเกินไปจึงนำมาซึ่งปัญหาสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นโรคอ้วน ฟันผุ ไขมันในเลือดสูงได้ วันนี้เรามาลองปรับวิถีชีวิตใหม่ ด้วยการทานน้ำตาลให้ถูกวิธีกันค่ะ – ลดปริมาณน้ำตาลลง ไม่ว่าจะเป็นน้ำตาลในกาแฟ ชา หรือนมที่ดื่มอยู่ สามารถใช้น้ำตาลเทียมเข้ามาทดแทนได้ แล้วทานอาหารหวาน ๆ พวกขนมเค้ก เบเกอรี่ ช็อกโกแลตต่าง ๆ ให้น้อยลงด้วย การหักดิบเลิกทานไปเลยอาจทำได้ยาก แต่การลดปริมาณลงจะง่ายกว่า –…

  • ไล่ยุงอย่างไร ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายเรา

    ไล่ยุงอย่างไร ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายเรา

    ไล่ยุงอย่างไร ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายเรา ประเทศไทยเป็นประเทศร้อนชื้น จึงมียุงชุมแทบทุกฤดูกาล การกำจัดยุงให้หมดนั้นเป็นเรื่องยาก เพราะร่างกายคนเรานั้นเป็นแหล่งดูดยุงชั้นเยี่ยม จากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ถูกปล่อยออกมาจาก เหงื่อ กลิ่นตัว และความร้อน ตลอดจนลมหายใจ ยุงจึงมักตอมคนและสัตว์เลี้ยง อีกทั้งสารเคมีในร่างกายของบางคนยังดึงดูดยุงมากกว่าคนอื่นด้วยก็มี วันนี้เราจึงขอนำสูตรการไล่ยุงหลาย ๆ เพื่อให้ทุกคนลองนำไปเลือกใช้ เพราะวิธีการไล่ยุงวิธีหนึ่งอาจใช้ไม่ได้ผลกับทุกคนก็เป็นได้ แต่ทุกสูตรที่นำมาเสนอในวันนี้รับรองได้ว่าปลอดภัย ไม่เป็นอันตรายจากสารพิษอย่างแน่นอนค่ะ – หากไปแค้มปิ้งหรือปิกนิกนอกบ้านที่มียุงมาก ให้นำกระเทียมผลซึ่งหาซื้อได้ทั่วไปตามซุปเปอร์มาร์เก็ตมาละลายน้ำ แล้วทาลงบนจุดชีพจรหรือบนใบหน้า แต่ให้ระวังเข้าตา – สำหรับผู้ที่อยู่ในบ้านแต่มียุงมาก ให้ลองนำกระเทียมผงละลายน้ำ ฉีดตามสนามหญ้าและพุ่มไม้ต่าง ๆ เพื่อช่วยไล่ยุง หมั่นทำสองอาทิตย์ต่อหนึ่งครึ่ง หรือฉีดหลังฝนตกจะช่วยลดปริมาณของยุงได้ – นำเอาวานิลลามาทาตามจุดชีพจร หรือแต้มตัวผิวหนังและแต้มลงบนเสื้อผ้า สามารถใช้วานิลลาชนิดเข้มข้ม ผสมน้ำก่อนแล้วค่อยพ่นลงบนผิวก็ได้เช่นกัน – เลือกน้ำมันหอมระเหยกลิ่น ลาเวนเดอร์ ยูคาลิปตัส ตะไคร้ มินท์ มะนาว ส้ม ก็ได้ มาผสมกับแอลกอฮอล์เช็ดแผลหรือน้ำกลั่น แล้วพ่นบนร่างกายหรือเสื้อผ้า หรือใช้เช็ดบริเวณผิวที่โดนยุงตอม – หรือจะเลือกนำเอาน้ำมันหอมระเหย 2-3 หยดผสมกับน้ำมะกอกหรือเบบี้ออยล์แล้วทาผิว ก็ได้เช่นกัน แต่ให้ระวังเข้าตาและปาก…

  • อาหารที่เหมาะสำหรับผู้ที่หลีกเลี่ยงโซเดียม (เกลือ)

    อาหารที่เหมาะสำหรับผู้ที่หลีกเลี่ยงโซเดียม (เกลือ)

    อาหารที่เหมาะสำหรับผู้ที่หลีกเลี่ยงโซเดียม (เกลือ) มีผู้ป่วยอยู่หลายโรคที่จำเป็นต้องจำกัดปริมาณของโซเดียม หรือเกลือในอาหาร ไม่ว่าจะเป็นผู้ป่วยโรคหัวใจ ผู้ป่วยโรคไต เพราะโซเดียมนี้จะทำให้เกิดอาการบวม ทำให้หัวใจเต้นผิดปกติ การเลือกทานอาหารจึงจำเป็นต้องระวังอาหารที่มีปริมาณของโซเดียมให้ดี โดยรายการอาหารด้านล่างนี้จะรายชื่อและปริมาณของโซเดียมต่อหน่วย มก. ในอาหารที่มีน้ำหนัก 100 กรัม 1. ผักทั่วไป (ส่วนใหญ่มีโซเดียม 1 – 20 มิลลิกรัมม) ถั่ว (1- 6) และผลไม้ (1 – 15) ดังนั้นหากเป็นผักต้มหรือข้าวโพดต้มจึงไม่ควรเติมเกลือเพิ่ม 2. อาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรต เช่น ข้าว เผือก มัน ข้าวโพด (มีโซเดียม 2 – 7 มก. / 100 กรัม) แต่หากแปรรูปแล้วจะทำให้มีโซเดียมเพิ่มขึ้นได้ เช่น ซีเรียลคอร์นเฟลค (1,158) มันฝรั่งแผ่น (997) ขนมปังแครกเกอร์ (613) ขนมปังขาว ขนมปังโฮลวีต (541)…

  • วิธีทานผลไม้ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพ

    วิธีทานผลไม้ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพ

    วิธีทานผลไม้ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพ วิธีทานผลไม้ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพ ในประเทศไทยนั้นเป็นประเทศในแถบเมืองร้อนที่มีผลหมากรากไม้ที่มีรสชาติอร่อยมากมาย ยิ่งในฤดูร้อนที่ผลไม้หลายชนิดพากันตกลูกแล้ว วัน ๆ เราก็คงอยากแต่จะทานผลไม้เหล่านี้กันให้อิ่มหนำไปเลย แต่ผลไม้หลายชนิดในหน้าร้อน ไม่ว่าจะเป็น ทุเรียน ลำไย เงาะ ลองกอง มะม่วงสุก เหล่านี้มีน้ำตาลสูงมาก อาจทำให้อ้วนได้ อีกทั้งยังมีการใช้สารเคมีและยาฆ่าแมลงระหว่างการปลูกอยู่มาก ดังนั้นเราจึงควรเรียนรู้วิธีการทานผลไม้อย่างถูกต้องเพื่อให้ร่างกายได้รับประโยชน์สูงสุดจากผลไม้โดยไม่เป็นอันตราย ดังต่อไปนี้ค่ะ 1. เมื่อซื้อผลไม้มาแล้วให้ทำการล้างให้สะอาดมาก ๆ หลาย ๆ น้ำ โดยเฉพาะผลไม้ที่ทานได้ทั้งเปลือกยิ่งต้องใส่ใจเป็นพิเศษ อาจแช่น้ำทิ้งไว้สักครึ่งชั่วโมงแล้วล้างทิ้งเพื่อความปลอดภัย 2. ซื้อผลไม้มาทานแค่พอกินเท่านั้น อย่าซื้อมาตุนไว้เยอะ ๆ เพราะวิตามินและแร่ธาตุที่เต็มเปี่ยมจะอยู่ในผลไม้สด ๆ ยิ่งทิ้งไว้นานเท่าไรคุณค่าทางโภชนาการก็จะยิ่งลดลงไปเรื่อย ๆ อีกทั้งควรกินให้มีความหลากหลาย เปลี่ยนชนิดหมุนเวียนไปเรื่อย ๆ ตามฤดูกาลเพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่หลากหลาย 3. สำหรับผู้ที่ป่วยเป็นเบาหวาน หรือผู้ที่เป็นโรคอ้วน ควรระมัดระวังผลไม้ที่หวานจัด โดยทานผลไม้หวานจัดเหล่านี้แค่ 1 ส่วนต่อวันเท่านั้น ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 5-6 คำ ผลไม้หวาน ๆ เหล่านี้ได้แก่ ขนุน มะม่วงสุก กล้วย…

  • หน้าฝน “ป้องกันยุงเกิด.. อย่าให้ยุงกัด” ลดความเสี่ยงไข้เลือดออก

    หน้าฝน “ป้องกันยุงเกิด.. อย่าให้ยุงกัด” ลดความเสี่ยงไข้เลือดออก

    หน้าฝน “ป้องกันยุงเกิด.. อย่าให้ยุงกัด” ลดความเสี่ยงไข้เลือดออก. ฤดูฝนที่กำลังมาเยือนนี้ มีโรคระบาดที่น่าเป็นห่วงมากสำหรับเด็ก ๆ ก็คือ โรคไข้เลือดออกนั่นเอง เป็นโรคที่มักระบาดในช่วงที่มีฝนตกชุกจนเกิดน้ำขังตามภาชนะและสิ่งของต่าง ๆ ที่รองน้ำเก็บไว้โดยไม่เกิดการหมุนเวียนถ่ายเท ยุงลายซึ่งเป็นพาหะของโรคนี้จึงแพร่พันธุ์เกิดขึ้นได้มากมาย โดยเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของไข้เลือดออกนี้ชื่อว่า “ไวรัสเดงกี่” ที่จะอยู่ในตัวยุงลายที่ไปกัดคนที่ป่วยเป็นไข้เลือดออก แล้วไปกัดคนอื่น ๆ แพร่เชื้อต่อไปเรื่อย ๆ เพราะยุงตัวเมียที่พกพาไวรัสไปด้วยนี้จะมีอายุขัยเฉลี่ยประมาณ 4-6 อาทิตย์ เมื่อผู้ป่วยได้รับเชื้อไวรัสเดงกี่นี้ไปแล้วจะใช้เวลาฟักตัวประมาณ 2-7 วัน ผู้ป่วยจึงมักมีอาการไข้สูงอย่างฉับพลัน หน้าแดง ตัวแดง ปวดศีรษะ เบื่ออาหาร มีผื่นหรือจุดแดงตามลำตัว แขนและขา กับทั้งมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน รวมทั้งอาจมีอาการปวดท้อง เลือดออกตามไรฟัน เลือดกำเดาไหล ถ่ายสีดำได้ รวมไปถึงอาจเกิดอาการช็อกได้อีกโดยให้สังเกตว่าแม้ไข้จะลดแล้ว แต่ผู้ป่วยยังมีอาการซึม ตัวเย็น กระสับกระส่ายปวดท้อง อาเจียนหรือหมดสติอยู่ ทั้งหมดนี้อาจเกิดขึ้นได้หากไม่สังเกตอาการและรักษาไม่ทันการ ดังนั้นผู้ปกครองจึงควรดูแลเด็กๆ และบุตรหลานอย่างใกล้ชิด หากเด็กมีไข้สูงเฉียบพลัน ควรเช็ดตัวลดไข้และให้ยาลดไข้พาราเซตามอลชนิดน้ำเชื่อมเพื่อให้ทานง่าย และใช้ตามขนาดที่กำหนดทุก ๆ 4-6 ชั่วโมง เมื่อไข้ลดแล้วจึงหยุดยา (หลีกเลี่ยงการใช้ยาแอสไพรินเพราะอาจทำให้เกิดอาการช็อกรุนแรงได้)…

  • วิธีระวังป้องกันฟ้าผ่า จากฝนฟ้าคะนองในหน้าฝน

    วิธีระวังป้องกันฟ้าผ่า จากฝนฟ้าคะนองในหน้าฝน

    วิธีระวังป้องกันฟ้าผ่า จากฝนฟ้าคะนองในหน้าฝน ปรากฎการณ์ฟ้าผ่านั้น เป็นปรากฎการณ์ธรรมชาติที่เกิดจากความไม่สมดุลของอุณหภูมิในชั้นบรรยากาศโลก ทำให้เกิดไฟฟ้าที่มีแรงดันไฟฟ้าสูงถึง 100 ล้านโวลต์ ซึ่งในแต่ละปีเกิดฟ้าผ่ากว่าแปดล้านครั้ง และมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากฟ้าผ่าถึงปีละประมาณห้าพันราย การเสียชีวิตและบาดเจ็บจากฟ้าผ่านี้เกิดจากความร้อนของประจุไฟฟ้าของฟ้าผ่า จะส่งผลต่อหัวใจและสมอง ทำให้หัวใจหยุดเต้น ก้านสมองไม่ทำงาน ซึ่งหนึ่งในสามคนของผู้ถูกฟ้าผ่าจะตายทันที ส่วนผู้ที่รอดชีวิตมากได้มักจะพิการถาวรจากระบบประสาทและไขสันหลังที่ถูกทำลาย ทำให้ตาบอด หูหนวก หรือเป็นอัมพาตได้ ดังนั้นหากเกิดฝนตกฟ้าคะนองขึ้น เพื่อให้รอดพ้นจากภัยฟ้าผ่าควรปฏิบัติดังนี้ 1. ถอดเครื่องประดับโลหะไว้ไกล ๆ ตัว ไม่ว่าจะเป็น นาฬิกา แหวน กำไล สร้อยคอ ฯลฯ 2. หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง หรือกิจกรรมที่ทำกลางแจ้งทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น ตีกอล์ฟ เตะฟุตบอลในสนาม การหาปลาหากลในทุ่งนา ฯลฯ เพื่อลดความเสี่ยง 3. อย่าหลบอยู่ใต้ต้นไม้กลางทุ่ง เสาไฟ ป้ายโฆษณา กำแพงหรือรั้วที่มีโลหะ หากจำเป็นต้องหลบใต้ต้นไม้ควรเลือกที่ไม่สูงมาก และเลือกต้นที่มีกิ่งใบแผ่ปกคลุมหนา อยู่ให้ห่างจากโคนต้นไม้ 2-3 เมตรขึ้นไป หรือหากหลบอยู่ในศาลาริมทาง ควรอยู่ให้ห่างเสาเพื่อป้องกันกระแสไฟฟ้าโคจรมาถึงตัว 4. หากอยู่ในรถควรปิดประตู กระจกหน้าต่างให้มิดชิด และอย่าให้ร่างกายสัมผัสกับตัวถังรถที่เป็นโลหะ…

  • แพทย์ติง ดื่มนมมากเกิน อาจย่อยสลายมวลกระดูกได้

    แพทย์ติง ดื่มนมมากเกิน อาจย่อยสลายมวลกระดูกได้

    แพทย์ติง ดื่มนมมากเกิน อาจย่อยสลายมวลกระดูกได้ การดื่มนมนั้นจำเป็นต้องดื่มแต่พอดีเพื่อให้ร่างกายได้รับแคลเซียมแต่พอที่ร่างกายที่ต้องการ เพราะแคลเซียมที่อยู่ในนมนั้นมาพร้อมกับฟอสฟอรัส ซึ่งมีคุณสมบัติในการย่อยสลายมวลกระดูกได้ จึงทำให้เกิดภาวะโรคกระดูกพรุน ทำให้กระดูกหักและเปราะได้ง่าย ซึ่งโรคกระดูกพรุนนี้ มักคุกคามผู้สูงวัยอย่างเงียบ ๆ แต่มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้นในผู้สูงวัยชาวไทย อีกทั้งการรับรู้ข่าวสารที่ไม่สมบูรณ์มากพอ ทั้งนี้การดื่มนมนั้นสามารถป้องกันภาวะกระดูกพรุนได้ แคลเซียมในนั้นนั้นมีคุณสมบัติในการยับยั้งการผุกร่อนของกระดูก และการสลายตัวของมวลกระดูก แต่ต้องดื่มในปริมาณที่เหมาะสม โดยแคลเซียมที่ควรได้รับมาจากนมน้ำไม่ควรเกิน 500 ซีซีต่อวัน จะทำให้ได้รับแคลเซียมประมาณ 500 มิลลิกรัมต่อวัน แต่ในน้ำนมนั้นจะประกอบไปด้วยแคลเซียมและฟอสฟอรัสในอัตรา 3 ต่อ 2 ส่วน หากเราดื่มนมมากกว่าครึ่งลิตรต่อวัน ก็อาจทำให้ร่างกายได้รับฟอสฟอรัสมากเกินความต้องการของร่างกาย ซึ่งจะไปกระตุ้นการทำงานของต่อมพาราไทรอยด์ให้หลั่งฮอร์โมนออกมาจนสลายกระดูกจนเป็นเหตุให้กระดูกพรุน กระดูกเปราะ เพราะเนื้อหรือมวลกระดูกบางลงนั่นเอง ในแต่ละช่วงอายุนั้นร่างกายมีความต้องการแคลเซียมที่แตกต่างกันไป – วัยเด็ก ควรได้รับแคลเซียม 600 มิลลิกรัมต่อวัน – วัยรุ่น ควรได้รับแคลเซียม 1,000-1,500 มิลลิกรัมต่อวัน – ผู้ใหญ่ ควรได้รับแคลเซียม 800-1,000 มิลลิกรัมต่อวัน – หญิงตั้งครรภ์ ควรได้รับแคลเซียม 1,500 มิลลิกรัมต่อวัน – ผู้สูงอายุหรือวัยทอง…