Author: pure

  • สารพัดวิธีล้างผักให้สะอาด ปราศจากสารเคมีเจือปน

    สารพัดวิธีล้างผักให้สะอาด ปราศจากสารเคมีเจือปน

    สารพัดวิธีล้างผักให้สะอาด ปราศจากสารเคมีเจือปน ไม่ว่าจะเป็นผักชนิดไหน ๆ ต่างก็ให้ประโยชน์กับร่างกายทั้งนั้น เพราะเป็นแหล่งของวิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระจำนวนมหาศาล และมีเส้นใยอาหารที่ช่วยลดปัญหาท้องผูก ที่อาจก่อให้เกิดการเป็นมะเร็งได้ในอนาคตด้วย แต่แม้ว่าผักทั้งหลายจะมีประโยชน์ต่อร่างกายมาก แต่ก็จำเป็นต้องตระหนักถึงอันตรายแฝงเร้นที่มากับผักด้วยเช่นกัน นั่นก็คือ สารพิษจากสารเคมีป้องกันแมลง และสารพิษตกค้างจากปุ๋ยบำรุงพืช ที่ติดมากับผักโดยที่เราไม่อาจมองเห็นได้นั่นเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผักที่มีลักษณะซ้อนกันเป็นชั้น ๆ หรือกาบ ๆ อย่างผักกาดขาว กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก ผักคะน้า ต้นหอม ฯลฯ ดังนั้นขั้นแรกของการหลีกเลี่ยงสารเคมีเหล่านี้ก็คือ การเลือกผักมาทานให้ถูกวิธีนั้นเอง ควรเลือกผักที่มีรอยแมลงกัดอยู่บ้าง เพราะนั่นแน่ใจได้ว่าเป็นผักที่ปลอดสารเคมีป้องกันแมลงแน่นอน แต่บางครั้งเราก็ไม่สามารถเลือกได้ จึงจำเป็นต้องเลือกรับสารพิษเหล่านี้เข้าสู่ร่างกายให้น้อยที่สุด ด้วยการล้างผักตามวิธีดังต่อไปนี้ คุณผู้อ่านสามารถเลือกนำไปใช้ได้ตามความสะดวกเลยค่ะ ในเบื้องต้นการล้างที่ไม่ได้ใช้ยาฆ่าแมลงหรือปุ๋ยนั้น สามารถล้างได้ด้วยน้ำสะอาดซักสองรอบ แล้วเติมเกลือลงไปแช่ผักไว้สักครู่ หนอนและแมลงต่าง ๆ ก็จะลอยขึ้นมาเอง หลังจากนั้นจึงค่อยน้ำไปล้างอีกรอบ แต่หากเป็นผักที่มีเศษดินติดอยู่ การแช่น้ำไว้ก็จะช่วยให้ดินอ่อนตัวลง เมื่อนำนิ้วไปถู ๆ ช่วยก็จะล้างดินออกได้อย่างหมดจด แต่ถ้าจะเอาให้แน่ใจว่าผักที่เราจะทานนี้ปลอดจากสารพิษได้แล้วล่ะก็ ต้องใช้เทคนิคดังนี้ค่ะ – ล้างด้วยผงโซเดียมไบคาร์บอเนต 1 ช้อนโต๊ะ กับน้ำประมาณ 20 ลิตร…

  • ยอมรับความเสื่อมของร่างกายตามกาลเวลา

    ยอมรับความเสื่อมของร่างกายตามกาลเวลา

    ยอมรับความเสื่อมของร่างกายตามกาลเวลา เมื่ออายุยิ่งมากขึ้นเท่าไร การดูแลสุขภาพก็ยิ่งเป็นเรื่องจำเป็นมากขึ้นเท่านั้น หากจะเปรียบไปแล้วร่างกายของคนก็เหมือนกับรถที่เก่าลงทุกปี จำเป็นต้องเข้าอู่เพื่อตรวจเช็คสภาพ บำรุงรักษาอยู่เนือง ๆ ร่างกายเราเมื่ออายุมากขึ้นก็ย่อมมีความเสื่อมโทรมลงเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ว่าจะเป็นอวัยวะส่วนใดก็หลีกเลี่ยงความจริงข้อนี้ไปไม่ได้ ซึ่งอาการหรือโรคที่บ่งบอกว่าร่างกายเรากำลังเสื่อมโทรมเอาที่เห็นกันได้ชัด ๆ นั้นก็คือ ตาฝ้าฟาง หูตึง ปวดกล้ามเนื้อ และปวดกระดูก อ่อนเพลีย เมื่อยล้า ภูมิแพ้ชนิดต่าง ๆ รวมไปถึงโรคเรื้อรังไม่ติดต่อจำพวก เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเส้นเลือด โรคอ้วน ซึ่งไม่จำเป็นต้องเกิดในผู้สูงอายุเท่านั้น แต่พบได้แม้ในคนที่อายุยังน้อยอยู่ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็เกิดจากวิธีการใช้ชีวิตนั่นเอง แต่คนเราก็ไม่เหมือนรถไปซะหมดทุกอย่าง เพราะคนเราก็ยังมีจิตใจ และจิตวิญญาณ ซึ่งสุขภาพของคนจะดีได้นั้นผู้ที่เป็นเจ้าของร่างกายก็จำเป็นต้องดูแลเอาใจใส่ทุกสัดส่วน ร่างกายจึงจะอยู่กับเรานาน ๆ ไม่เสื่อมโทรมไว หรือเสียบ่อย ๆ แล้วก็ยังใช้การได้ดีจนสิ้นอายุขัย พึงตระหนักไว้ว่าสุขภาพของผู้ที่เข้าวัยชรานั้นเปรียบเหมือนรถเก่าก็ตรงที่ มักจะเสียง่าย ใช้งานหนักมากไม่ไหว แล้วก็ต้องเข้าอู่บ่อย สุดท้ายก็ต้องพัง ดังนั้นจึงจำเป็นต้องดูแลอย่างเหมาะสม เมื่อเกิดความเสียหายขึ้นก็ซ่อมแซมตามจำเป็น แต่หากมีปัญหาซับซ้อนก็ควรแยกแยะให้ออกว่าจะปล่อยไปหรือนำไปซ่อม ควรมีสติ มีความรู้ และอย่างกังวลมากเกินไป นอกจากนี้แล้วยังควรหากช่างซ่อม หรือหมอ พร้อมอู่ หรือโรงพยาบาลที่ไว้ใจได้มาดูแลด้วย ผู้สูงวัยทุกท่านจำเป็นต้องแยกแยะให้ได้ว่า อาการชนิดไหนเป็นโรคที่ไม่ต้องรักษา…

  • วิธีการใช้รถเข็นให้ปลอดภัยสำหรับคนพิการ

    วิธีการใช้รถเข็นให้ปลอดภัยสำหรับคนพิการ

    วิธีการใช้รถเข็นให้ปลอดภัยสำหรับคนพิการ ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรอีกต่อไปแล้ว ที่เราจะพบเห็นผู้พิการสามารถไปไหนได้เองโดยลำพัง บางคนขับรถเองได้ก็มี หรือสามารถเข้าห้องน้ำนอกบ้านได้โดยไม่มีปัญหาด้วย อีกทั้งยังมีบางส่วนที่ได้รับการสนุนทางด้านการศึกษาอย่างเต็มที่ ทำให้มีความรู้ความสามารถ ศักยภาพไม่แตกต่างจากคนที่มีร่างกายปกติเลย อีกทั้งบางคนยังสามารถเป็นที่พึ่งให้ผู้อื่น ช่วยเหลือผู้อื่นในสังคมได้อย่างเต็มที่อีกด้วย ดังนั้นบทความวันนี้จึงขอเสนอวิธีการใช้รถเข็นในที่สาธาระสำหรับผู้พิการกันนะคะ เผื่อบางทีอาจจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่ต้องใช้รถเข็นทั้งแบบชั่วคราวและถาวรได้ไปพร้อม ๆ กันเลยค่ะ 1. การเลือกใช้รถเข็น ควรเลือกใช้ให้เหมาะกับความพิการ หรือความจำเป็นของร่างกาย และขณะนั่งอยู่บนรถเข็นควรคาดเข็มขัดนิรภัยหรือใช้ผ้าคาดลำตัวไว้ เพื่อป้องกันการเสียหลักร่วงจากรถเข็นได้ 2. ส่วนสถานที่ที่มักก่อให้เกิดอันตรายก็มักจะเป็นบริเวณที่เป็นทางลาดที่คับแคบมากเกินไป จนทำให้มืออาจเสียดสีกับขอบทางลาดทำให้ได้รับการบาดเจ็บ หรือบริเวณฝาปิดท่อน้ำแบบร่องที่อาจทำให้ล้อรถเข็นตกร่องได้ วิธีการเข็นผ่านสิ่งเหล่านี้ต้องเข็นให้ล้อทำมุมเฉียงกับร่องนั่นเองจึงจะปลอดภัย 3. หากจำเป็นต้องหยุดรถเข็นกะทันหัน ให้จับขอบล้อรถเข็นด้านหน้าและหมุนล้อขืนไปทางด้านหลัง พร้อมกับโน้มตัวไปด้านหลังช่วยอีกแรง 4. หากจำเป็นต้องเข็นขึ้นลงทางลาดด้วยตนเอง การเข็นขึ้นให้วางมือทางจุดสูงสุดของขอบล้อ หมุนล้อไปด้านหน้าพร้อมกับโน้มตัวไปด้านหน้าช่วยด้วย ส่วนการเข็นลงให้นั่งหลังและไหล่ชิดพนักพิง ปล่อยให้รถไหลลงเอง โดยวางมือไว้ทางด้านหน้าของขอบล้อเพื่อช่วยชะลอความเร็วของรถ 5. สำหรับการใช้ลิฟท์ การกดลิฟท์ที่ไม่ได้ออกแบบมาสำหรับคนพิการ คุณอาจพกไม้บรรทัดช่วยในการกดในกรณีที่กดไม่ถึง ส่วนการเข็นรถเข้าลิฟท์ ให้เข็นรถเข้าชิดด้านใดด้านหนึ่ง และหากลิฟท์กว้างมากพอให้หมุนรถหันหน้าออกเพื่อความสะดวกเวลาออกจากลิฟท์ นอกจากนี้แล้วผู้ดูแลควรฝึกฝนและสาธิตให้ผู้พิการให้ใช้รถเข็นจนชำนาญด้วย เพื่อให้เขาสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ไม่ใช้รถเข็นเป็นเพียงเก้าอี้นั่งเท่านั้น สำหรับคนพิการนั้นก็อย่าปล่อยให้ร่างกายเป็นอุปสรรคต่อการดำรงชีวิต ควรรีบฟื้นฟูร่างกายส่วนอื่น ๆ ด้วยใจเข้มแข็ง พัฒนาชีวิตให้มีคุณภาพ อย่าปล่อยให้น้ำหนักตัวเกินมาก เพราะการนั่งรถเข็นจะทำให้อ้วนได้ง่าย แล้วยังอาจเสี่ยงต่อการเกิดโรคอื่น ๆ…

  • ดูแลเด็ก ๆ ให้ห่างไกลโรคหวัดลงกระเพาะ

    ดูแลเด็ก ๆ ให้ห่างไกลโรคหวัดลงกระเพาะ

    ดูแลเด็ก ๆ ให้ห่างไกลโรคหวัดลงกระเพาะ โรคไวรัสโรต้า หรือโรคหวัดลงกระเพาะนั้น มักจะทำให้เด็กเล็ก ๆ ที่มีอายุน้อยกว่าห้าขวบ มีอาการไข้สูง ท้องเสีย ปวดท้อง ถ่ายเป็นน้ำ จนทำให้ร่างกายขาดน้ำและเสียชีวิตจากโรคนี้กันได้ปีหนึ่งเป็นแสนรายจากทั่วโลกเลยทีเดียว  และในเมืองไทยก็มีเด็กที่เสียชีวิตจากเชื้อนี้เป็นจำนวนมากเช่นกัน  โดยมากเด็กมักจะติดโรคนี้ในช่วงที่มีอากาศเย็น   โรคนี้มีชื่อเรียกกันว่า หวัดลงกระเพาะ หรือ ไวรัสลงลำไส้ เพราะว่าในผู้ป่วยบางรายนั้นจะมีแสดงอาการคล้ายไข้หวัดนำมาก่อนนั่นเอง โรคนี้นั้นพบได้มากที่สุดในเด็กทารกและเด็กเล็ก ๆ ที่อายุน้อยกว่าสองขวบ  หากอายุมากกว่านี้ก็จะพบได้น้อยลง  ส่วนในวัยผู้ใหญ่หรือเด็กโตแล้วนั้นมักจะมีภูมิคุ้มกันโรค  เรียกได้ว่าเด็กเล็ก ๆ ที่เข้าโรงพยาบาลเพราะอาการท้องเสียนั้นเกือบครึ่งนั้นมีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัสโรต้า นี้ได้เลย  และเรียกได้ว่าเด็กทารกแทบทุกคนนั้นเคยติดเชื้อนี้อย่างน้อยก็หนึ่งครั้งในชีวิต    เชื้อนี้ติดต่อกันได้ง่ายมากเพราะแพร่กระจายได้จากน้ำมูก น้ำลาย ปัสสาวะ อุจจาระที่ปนเปื้อนอยู่กับ พื้นบ้าน ของใช้ สิ่งของ ของเล่นต่าง ๆ และเชื้อนี้ก็ยังแข็งแรงมากพอที่จะอยู่ได้เป็นวัน ๆ  เมื่อเด็กได้รับเชื้อเข้าไปก็จะมีระยะเวลาฟักเชื้อที่ค่อนข้างน้อยคือเพียงแค่ 1-2 วันเท่านั้น  แล้วจึงแสดงอาการปวดท้อง อาเจียน ไข้ขึ้นสูง  จนเกิดอาการชัก ร่วมกันถ่ายเหลว  เด็กบางคนได้รับเชื้อรุนแรงมาก อาจถ่ายได้ถึงวันละ 20 ครั้งเลยทีเดียว ในปัจจุบันนี้ยังไม่มียาใดที่รักษาเชื้อไวรัสโรต้านี้ได้  ดังนั้นหากเด็ก ๆ…

  • รู้จักกับอันตรายของฟอร์มาลิน!

    รู้จักกับอันตรายของฟอร์มาลิน!

    รู้จักกับอันตรายของฟอร์มาลิน! เวลาไปจ่ายตลาดเคยสังเกตไหมคะว่าทำไมผัก ผลไม้ หรืออาหารทะเล ของบางร้านนั้นมันจึงดูสดใหม่ สดได้นานจนผิดธรรมชาติ ทั้งที่ซื้อมาแล้ววันแล้ว และไม่ได้แช่ตู้เย็น แต่ก็ยังไม่เน่าหรือเปลี่ยนสภาพไปเท่าไร หากอาหารที่คุณซื้อมาเป็นเช่นนั้น ให้สงสัยไว้ก่อนค่ะว่าอาหารเหล่านั้นผ่านการแช่ฟอร์มาลิน มาหรือเปล่า การที่อาหารสดใหม่อยู่ได้นานนั้นก็เป็นเพราะ ฟอร์มาลินที่พ่อค้าแม่ค้านำมาแช่อาหารนั้น ทางการแพทย์แล้วถือว่าเป็นน้ำยาที่ใช้ทำลายเชื้อโรค ใช้ดองศพไม่ให้เน่าเปื่อย เป็นทั้งยาฆ่าเชื้อ ยาดับกลิ่น และยาฆ่าเชื้อโรคด้วย เพราะทำให้โปรตีนแข็งตัวขึ้น ใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมสิ่งทอที่ใช้เป็นน้ำยาอาบผ้าไม่ให้ย่น ใช้ในการเก็บรักษาธัญพืชป้องกันเชื้อราและแมลง แต่ไม่อนุญาตให้ใช้ในอาหารเพราะเป็นสารที่มีพิษค่ะ!! ฟอร์มาลินนี้หากสูดดมเข้าร่างกายจะทำให้เกิดการระคายเคือง แสบจมูก เจ็บคอ หายใจไม่ออก ไอ ปอดอักเสบ น้ำท่วมปอดและอาจเสียชีวิตได้หากสูดดมเป็นปริมาณมาก และหากทานเข้าไปก็ตายแน่นอนค่ะ และหากนำมาปนเปื้อนในอาหาร ก็จะทำให้ผู้ที่ทานเข้าไปมีอาการปวดหัวอย่างรุนแรง ปวดท้อง ปากคอแห้ง หัวใจเต้นเร็ว แน่นอก ท้องเสีย คลื่นไส้ อาเจียน ปัสสาวะเป็นเลือดหรือปัสสาวะไม่ออก อ่อนเพลีย เหงื่อออกมาก คอแข็ง แต่หากได้รับสารนี้แบบน้อย ๆ แต่ต่อเนื่องจะสะสมจนก่อให้เกิดโรคมะเร็งได้ แต่ก็ยังมีพ่อค้าแม่ค้าที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์และจงใจอีกมากมายที่นำเอาฟอร์มาลินนี้มาใช้ในอาหาร เพื่อมิให้อาหารเน่าเสียเร็ว และอยู่สดได้นาน ดังนั้นผู้บริโภคอย่างเราจึงควรเลือกซื้ออาหารอย่างใส่ใจมากสักนิด ด้วยการสังเกตว่าผักและอาหารเหล่านั้นดูสดเกินจริงหรือไม่ รวมทั้งการหยิบมาดมดูก็ได้ หากมีกลิ่นฉุนแล้วก็ไม่ควรซื้อ…

  • ดูแลลูก ๆ ให้ห่างไกลจากโรคหูอักเสบในฤดูฝนนี้

    ดูแลลูก ๆ ให้ห่างไกลจากโรคหูอักเสบในฤดูฝนนี้

    ดูแลลูก ๆ ให้ห่างไกลจากโรคหูอักเสบในฤดูฝนนี้ ในช่วงหน้าฝนจะเป็นฤดูที่เด็ก ๆ มักมีความเสี่ยงเป็นโรคหูชั้นกลางอักเสบมากกว่าฤดูอื่นของประเทศไทย ซึ่งมักมาพร้อมกับโรคหวัดในหน้าฝน  หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องอาจทำให้ลุกลามจนกลายเป็นโรคหูหนวกได้ในอนาคต  กลุ่มที่น่าเป็นห่วงก็คือเด็กที่อายุน้อยกว่า 3 ขวบ จากสถิติแล้วกว่าร้อยละ 80 นั้นเคยเป็นโรคหูชั้นกลางอักเสบอย่างน้อย 1 ครั้งในชีวิต ซึ่งสาเหตุของโรคหูชั้นกลางอักเสบนี้เกิดจากการติดเชื้ไวรัสหรือเชื้อแบคทีเรีย แล้วเกิดการอักเสบและบวมแดงของแก้วหู  จนเกิดเป็นน้ำหรือหนองในเยื่อแก้วหู  บางรายที่รุนแรงก็ทำให้เยื่อแก้วหูฉีกขาดได้  เด็กที่มีความเสี่ยงมากนอกจากจะเป็นเด็กที่อายุน้อยกว่า 3 ขวบแล้ว ยังเป็นเด็กที่อยู่ในโรงเรียนอนุบาล หรือสถานรับเลี้ยงเด็ก รวมไปถึงเด็กที่เป็นโรคภูมิแพ้ ไม่แข็งแรง ป่วยง่าย ติดเชื้อโรคหวัด คออักเสบ หรือโพรงจมูกอักเสบมาจากเพื่อน ๆ  ช่วงที่ติดต่อกันได้ง่ายก็คือหน้าฝน ที่ทำให้เยื่อบุในท่อยูสเตเชี่ยนที่เชื่อมต่อระหว่างูไปยังคอและโพรงจมูกเกิดการบวมและคั่งน้ำ  ทำให้เกิดแรงดันในหูมากขึ้น จนเชื้อแพร่กระจายเข้าสู่หูชั้นกลางได้ง่ายขึ้นนั่นเอง ส่วนมากอาการเหล่านี้จะดีขึ้นในระยะไม่เกิน 5 วัน  แต่ในรายที่รุนแรงเชื้ออาจเข้าไปยังสมองทำให้เกิดโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ หรือฝีในสมอง  ซึ่งนอกจากนี้หากเชื้อพลัดหลงเข้าไปในกระแสเลือดยังทำให้เกิดโรคติดเชื้อในกระแสเลือดได้อีก  หากลุกลามไปยังปอดก็ทำให้ปอดอักเสบรุนแรงได้  ซึ่งการรักษาจะยิ่งยุ่งยากมากขึ้นและเด็กบางรายก็มีโอกาสเสียชีวิตด้วย การป้องการเชื้อเหล่านี้เป็นเรื่องที่ผู้ปกครองและคุณพ่อคุณแม่ต้องใส่ใจให้มาก  การป้องกันตั้งแต่ทารกก็คือให้ลูกกินนมแม่เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง  ทานอาหารที่เหมาะสมกับภัย และเสริมภูมิคุ้มกันด้วยการฉีดวัคซีนให้ครบ  รวมไปถึงวัคซีนไอพีดีพลัสปอด-หูอักเสบ  ซึ่งช่วยป้องกันโรครุนแรงอันกได้แก่ โรคไอพีดี ปอดบวม โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ โรคติดเชื้อในกระแสเลือดแล้วยังช่วยป้องกันการเกิดโรคหูชั้นกลางอักเสบในเด็กเล็กด้วย สำหรับในฤดูฝนนี้คุณพ่อคุณแม่ควรดูแลเด็ก…

  • วิธีป้องกันยุงลายแพร่พันธุ์  ตัดวงจรการระบาดของไข้เลือดออก

    วิธีป้องกันยุงลายแพร่พันธุ์ ตัดวงจรการระบาดของไข้เลือดออก

    วิธีป้องกันยุงลายแพร่พันธุ์  ตัดวงจรการระบาดของไข้เลือดออก การป้องกัน โรคไข้เลือดออก ที่ได้ผลที่สุดนั้นก็คือการป้องกันการแพร่พันธุ์ของยุงลาย แต่ที่ผ่านมายังควบคุมได้ไม่ดีเท่าไรนัก เน้นจากไปเน้นการทำลายยุงลายซึ่งเป็นการสิ้นเปลืองมาก การควบคุมยุงลายที่ได้ผลต้องทำเป็นวงกว้าง และเน้นที่การควบคุมลูกน้ำเป็นหลัก ควรทำร่วมกันเป็นชุมชนหรือองค์กรด้วย เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดของการควบคุมการแพร่พันธุ์ของยุงลาย ดังต่อไปนี้ค่ะ – ตรวจสอบ บ่อน้ำ แทงค์เก็บน้ำ กะละมังหรือภาชนะบรรจุน้ำต่าง ๆ ที่จะเป็นแหล่งที่ยุงมาไข่และเกิดลูกน้ำได้ แหล่งน้ำเหล่านี้ต้องมีฝาปิดและตรวจสอบเสมอ ๆ ว่ามีลูกน้ำหรือไม่ – ตรวจรอยรั่วของท่อน้ำ แทงค์น้ำ หรืออุปกรณ์เกี่ยวกับน้ำด้วยว่ารั่วหรือไม่โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหน้าฝน – เปลี่ยนน้ำแจกัน ถ้วยรองขาตู้ ซึ่งควรเปลี่ยนทุกอาทิตย์ สำหรับแจกันควรใส่ทรายลงไปด้วย และถ้วยรองขาตู้ควรใส่เกลือด้วยเพื่อป้องกันการเกิดของลูกน้ำ – ถาดรองน้ำตู้เย็นและแอร์ ก็เป็นเพาะพันธุ์ยุงได้เช่นกันหากมีน้ำขังอยู่ – ตรวจสอบรอบบริเวณบ้าน โรงเรียนว่ามีแหล่งน้ำขังหรือไม่ รวมไปถึงรางระบายน้ำจากหลังคาว่ามีแอ่งน้ำขังหรือเปล่า กระป๋อง ขวดน้ำต่าง ๆ ควรเก็บไปทิ้งหรือคว่ำน้ำออกอย่าให้มีน้ำขัง แม้แต่ยางเก่าของรถก็เช่นกัน รั้วไม้และต้นไม้ที่มีรูกลวงควรอุดหรือถมด้วยคอนกรีตให้เต็ม ต้นไผ่ก็ควรตัดตรงข้อพอดีอย่าให้มีน้ำขัง สำหรับแหล่งน้ำตามธรรมชาติควรกลับหรือปิดด้วยคอนกรีตให้เรียบร้อยด้วย และในส่วนของการป้องกันส่วนตัวบุคคล ให้สวมเสื้อผ้าที่หนาพอควร ควรเป็นเสื้อแขนยาว กางเกงขายาว เด็กนักเรียนหญิงก็ควรสวมกางเกงขายาว แล้วทาสมุนไพรกันยุงตอม เช่น ตะไคร้หรือเปลือกส้ม…

  • แนวทางการรักษาแบบประคับประคอง นอกเหนือจากแพทย์แผนปัจจุบัน

    แนวทางการรักษาแบบประคับประคอง นอกเหนือจากแพทย์แผนปัจจุบัน

    แนวทางการรักษาแบบประคับประคอง นอกเหนือจากแพทย์แผนปัจจุบัน สำหรับคนส่วนใหญ่แล้ว หากพูดถึงเรื่องความตายขึ้นมา ก็มักจะเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงกัน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความกลัวการตาย กลัวความเจ็บปวด กลัวภาวะความโดดเด่นจากความตาย กลัวว่าไม่รู้ว่าตายแล้วไปไหน ดังนั้นจึงมักจะหวังกันว่าเมื่อเวลาเจ็บป่วยใกล้ตายเข้าจริง ๆ แล้วคงจะได้รับการดูแลมิให้ต้องทุกข์ทรมาน แม้แพทย์และพยายามจะมีจรรยาบรรณที่ได้รับการปลูกฝังมาว่าจะดูแลผู้ป่วยอย่างเต็มความสามารถ แม้หมดหวังกจะคงให้การรักษาต่อไปอย่างประคับประคองแม้จะรู้กันดีกว่าหมดหวังแล้วก็ตาม ซึ่งในปัจจุบันนี้ผู้ป่วยมีสิทธิอีกประการหนึ่งที่สามารถทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์รับการบริการสาธารณสุขเพียงเพื่อยืดชีวิตไว้ในวาระสุดท้าย หรือเพื่อยุติความทรมานจากการเจ็บป่วย ตามมาตรา 12 ของ พรบ.สุขภาพแห่งชาติปี 2550 โดยมีเจตนาให้ผู้ป่วยได้กำหนดชะตาชีวิตของตนเอง เพื่อให้แพทย์และญาติมิตรได้ใช้เวลาที่เหลือในการดูแลผู้ป่วยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี และลดขั้นตอนการรักษาที่ไม่เกิดประโยชน์ นำไปสู่มุมมองใหม่ของการรักษาผู้ป่วยระยะสุดท้ายจากแพทย์และพยาบาลที่มีความเข้าใจเรื่องชีวิตและความตายมากขึ้น จึงได้มีการเชื่อมโยงวิธีการรักษาทางจิตวิญญาณเข้ามา แต่ก็ยังคำนึงถึงวิธีการที่จะบรรเทาไม่ให้ผู้ป่วยได้รับความทุกข์ทรมานอยู่ดี เป็นการรักษาแบบประคับประคองหรือการบำบัด ที่สำคัญ เมื่อพบว่าผู้ป่วยอาจไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้แล้ว ซึ่งแนวทางการรักษานอกเหนือจากแพทย์แผนปัจจุบันนี้ได้แก่การนำเอาวิทยาการต่างๆ เข้ามาช่วย ไม่ว่าจะป็น การใช้ศิลปะบำบัด การสวดมนต์ ดนตรีบำบัด การฟังธรรม การทำสมาธิ ขึ้นอยู่กับความเชื่อและความศรัทธาของผู้ป่วยในทุกศาสนาให้สามารถยอมรับความจริงของชีวิตยามเมื่อความตายคืบคลานมาเยือนแล้วได้ โดยมีตัวอย่างมาแล้วว่าผู้ป่วยจำนวนหนึ่งสามารถลดความทรมานลงได้เมื่อได้ยินเสียงพระสวด หรือฟังเสียงสวดมนต์ที่ได้เคยสวดประจำ แล้วยังมีการน้อมนำให้ผู้ป่วยได้ขอขมาพระรัตนตรัย พ่อแม่ ผู้มีพระคุณ นำการแผ่เมตตา การให้ผู้ป่วยและญาติมิตรและผู้ที่เกี่ยวข้องได้กล่าวอโหสิกรรมซึ่งกันและการเป็นต้น ความตายนั้นเป็นธรรมดา แต่เมื่อถึงเวลาที่ตนเองต้องเดินทางไกลจริง ๆ แล้ว บางครั้งก็เป็นเรื่องยากที่จะยอมรับได้ จึงจำเป็นที่ผู้รักษาและญาติมิตรต้องส่งผู้ป่วยไปอย่างสงบและทรมานน้อยที่สุดค่ะ  

  • บัญญัติ 10 ประการเพื่อการป้องกันโรคระบาด

    บัญญัติ 10 ประการเพื่อการป้องกันโรคระบาด

    บัญญัติ 10 ประการเพื่อการป้องกันโรคระบาด ไม่จำกัดว่าต้องเป็นประเทศกำลังพัฒนาเท่านั้นที่มีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อ ทางเดินหายใจ โรคติดเชื้อทางเดินอาหาร หรือโรคติดต่อจากคนสู่คนหรือสัตว์สู่คน แม้แต่ประเทศที่พัฒนาแล้วก็ยังจำเป็นต้องมีมาตรฐานการควบคุมและป้องกันโรคที่ดีเช่นเดียวกัน การจะไปอาศัยการรักษาหรือการป้องกันจากทางการอย่างเดียวก็คงไม่เพียงพอ ในส่วนของประชาชนทุกคนเองก็ควรต้องมีมาตรการไว้สำหรับรับมือและป้องกันโรคติดต่อ หรือโรคระบาดนี้ด้วยตัวเองกันด้วย ดังนั้นบัญญัติสิบประการที่จะนำมาเสนอคุณผู้อ่านในวันนี้จะเป็นการช่วยสร้างพฤติกรรมสุขภาพที่ดี เพื่อให้ทุกคนได้ป้องกันโรคภัยไข้เจ็บทั้งหลายได้ด้วยตนเอง และให้บัญญัติทั้งสิบประการนี้เป็นสุขบัญญัติพื้นฐานสำหรับครอบครัว ชุมชน โรงเรียนและโรงงาน ต่อไป ซึ่งบัญญัติทั้งสิบประการนั้นได้แก่ 1. ดูแลร่างกายรวมทั้งเครื่องใช้ไม้สอยต่าง ๆ ให้สะอาดอยู่เสมอ 2. ดูแลรักษาฟันให้แข็งแรง และแปรงฟันทุกวันอย่างน้อยวันละสองครั้ง อย่างถูกต้อง 3. ล้างมือด้วยน้ำสะอาดและสบู่ก่อนการทานอาหารและหลังจากเข้าห้องน้ำทุกครั้ง 4. ทานแต่อาหารที่ปรุงสุก สะอาด ปลอดจากสารเคมีอันตราย และไม่มีสีสันฉูดฉาด และอาหารรสจัดจ้าน 5. งดการดื่มสุรา เสพยาเสพติด สูบบุหรี่ เล่นการพนันและพฤติกรรมสำส่อนทางเพศ 6. สร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวให้อบอุ่น 7. ไม่ประมาทในการขับยวดยาน และเครื่องจักร รวมทั้งอุบัติภัยต่าง ๆ 8. ออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ สัปดาห์ละ 3 ครั้ง ครั้งละ 30 นาทีขึ้นไป แล้วตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี 9.…

  • วิธีการสังเกตว่าลูกหลานเสพยาเสพติดหรือไม่..

    วิธีการสังเกตว่าลูกหลานเสพยาเสพติดหรือไม่..

    วิธีการสังเกตว่าลูกหลานเสพยาเสพติดหรือไม่.. เดี๋ยวนี้เด็กวัยรุ่นเข้าถึงยาเสพติดกันได้ง่ายมากนะคะ แม้ทางการจะพยายามในการป้องกันและปราบปรามมากเท่าไร แต่ดูเหมือนสถานการณ์ก็ยังไม่เป็นที่น่าไว้ใจ ดังนั้นเราจึงควรมาดูแลบุตรหลานของเราแทน เพื่อมิให้เด็ก ๆ ได้เข้าไปข้องเกี่ยวกับสิ่งเสพติดต่าง ๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้ปกครองก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป ซึ่งสาเหตุที่สำคัญอีกอย่างที่เด็กๆ อยากลองยาเสพติดก็เป็นเพราะความอยากรู้อยากลอง อยากได้รับความการยอมรับจากเพื่อนและความคึกคะนอง รวมไปถึงความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ด้วยที่ทำให้เด็กวัยรุ่นหลงผิดได้ แต่หากผู้ปกครองเข้าไปป้องกันไว้ก่อนก็จะเป็นการแก้ปัญหาได้ทัน ด้วยการสังเกตอาการทั้งทางร่างกายและจิตใจของเด็กในปกครองดังต่อไปนี้ค่ะ ในส่วนของการเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตใจจะสังเกตเห็นได้ว่า สุขภาพร่างกายของเราจะดูทรุดโทรมลง น้ำหนักลด ซูบผอมลง อ่อนเพลีย ปากแห้งและแตก สกปรกและเหงื่อออกมาก กลิ่นตัวแรงเพราะไม่ชอบอาบน้ำ ผิวหนังมีลักษณะหยาบกร้าน อาจเป็นแผลพุพองหรือมีหนองคล้ายโรคผิวหนัง ตามท้องแขนอาจมีรอยกรีด รวมทั้งชอบใส่เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว และสวมแว่นดำ สวมหมวก เพราะสายตาพร่ามัว สู้แดดไม่ได้ เพราะม่านตาขยายจากฤทธิ์ของยาเสพติด การสังเกตในด้านของจิตใจจะให้สังเกตจากบุคลิกภาพ ก็คือ มักจะหงุดหงิดขี้โมโห เจ้าอารมณ์ เอาแต่ใจตัวเองและไม่ค่อยมีเหตุผล ขาดความรับผิดชอบในการเรียนและหน้าที่การงาน ไม่เชื่อมั่นในตนเอง ก้าวร้าวกับผู้ใหญ่ มักชอบอยู่คนเดียวไม่ชอบสังคม เข้าห้องน้ำนาน ๆ ใช้เงินเปลืองหรือข้าวของในบ้านเริ่มสูญหายบ่อย ๆ พบอุปกรณ์การเสพยาชนิดต่าง ๆ ไม่ค่อยสนใจความเป็นอยู่ของตนเองมากนัก มักไม่ค่อยอยู่บ้าน มั่วสุมกับผู้เสพยา กลับบ้านดึกไม่ตรงเวลา ชอบนอนตื่นสาย รวมทั้งมักมีความเศร้าซึม…