Author: pure
-
สาเหตุการเป็นมะเร็ง พันธุกรรมหรือการใช้ชีวิต?
สาเหตุการเป็นมะเร็ง พันธุกรรมหรือการใช้ชีวิต? มีเรื่องราวจะเล่าให้ฟังเกี่ยวกับผู้ป่วยโรคมะเร็งปอดท่านหนึ่ง ที่เรื่องราวในชีวิตของทั้งตัวผู้ป่วยเองและคุณแม่ของผู้ป่วยน่าจะเป็นเรื่องราวที่บอกอะไรบางอย่างได้บ้างเกี่ยวกับโรคมะเร็งและการใช้ชีวิตนะคะ เผื่อคุณผู้อ่านจะนำไปพิจารณาและปรับใช้ชีวิตกันดูค่ะ ผู้ป่วยโรคมะเร็งปอดท่านนี้อาศัยอยู่กับแม่ที่ต่างจังหวัด แม่ของเธอเป็นผู้หญิงที่สวยน่ารักคนหนึ่งแม้จะอายุเข้า 80 ปีแล้วแต่ก็ยังแข็งแรง ใช้ชีวิตเป็นสาวบ้านนามาตลอดชีวิต ไม่เคยทานวิตามินหรืออาหารเสริมใด ๆ มีผิวสีน้ำตาลเข้มเรียบเป็นมันไม่ได้ใช้โลชั่นบำรุงผิว มีริ้วรอยเหี่ยวย่อนบ้าง แต่ผมยังมีสีดำเงาสวย มีผมหงอกแค่ประปราย ดวงตามีประกายสดใสใจดีน่ารัก คุณยายใช้ชีวิตในสวนปลูกผักไว้กินเองและขายด้วย แล้วก็ยังทำไร่ทำนาทำสวยได้ทั้งที่อายุแปดสิบแล้ว แต่ลูกสาวอายุเพียง 47 กลับเป็นมะเร็งปอด การที่คุณยายมีสุขภาพแข็งแรง อารมณ์ดีอยู่เช่นนี้ แล้วก็ดูสบาย ๆ เพราะคุณยายออกกำลังกายทำสวน จึงมีเหงื่อทุกวัน ทั้งถางหญ้า รดน้ำต้นไม้ พรวนดิน ปลูกผักสวนครัวตั้งเกือบครึ่งไร่ ทั้งแตงกวา ผักกาด พริก ถั่วฝักยาว ตะไคร้ ใบโหะรา กะเพราะ ฯลฯ โดยไม่ใช้ยาฆ่าแมลงเลย คุณยายใช้ผักในสวนของตัวเองในการทำกับข้าว ที่ใช้น้ำมันน้อยมาก ส่วนใหญ่มักทานเป็นน้ำพริกผักจิ้ม หรือแกง หรือนึ่ง ทานปลาเป็นส่วนใหญ่ เนื้อสัตว์ใหญ่ไม่ค่อยกิน ไม่ใช่ชูรส ปรุงรสด้วยเกลือนิดหน่อย กินขนมบ้างส่วนใหญ่เป็นกล้วยน้ำว้าในสวน ไม่มีโรคประจำตัว และสวดมนต์ไหว้พระ ใส่บาตรบ่อย ๆ…
-
5 ข้อควรทำเพื่อป้องกันมะเร็งร้าย
5 ข้อควรทำเพื่อป้องกันมะเร็งร้าย เดี๋ยวนี้เราได้ยินข่าวการตายด้วยโรคมะเร็งมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเกิดในญาติผู้ใหญ่ คนใกล้ชิด หรือเพื่อนสนิทคนใกล้ตัวก็ตาม เพราะการเกิดมะเร็งเกิดขึ้นได้หลายปัจจัยที่ล้วนก็อยู่ใกล้ตัวและอยู่ภายในตัวเราทั้งสิ้น ป้องกันได้บ้างและบ้างก็ป้องกันไม่ได้ สิ่งอันตรายที่เราควรหลีกเลี่ยงเพื่อป้องกันมะเร็งก็คือ ไม่ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ อย่ามีเพศสัมพันธ์มั่วซั่ว ไม่ควรออกแดดจ้า รวมทั้งไม่ควรทานปลาน้ำจืดสุก ๆ ดิบ ๆ ด้วย นอกจากนี้ยังควรปฏิบัติตัวตาม 5 ข้อดังต่อไปนี้เพื่อป้องกันโรคมะเร็งด้วยค่ะ 1. หมั่นออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ อย่างน้อยวันละครั่งชั่วโมง 3-4 วันต่อสัปดาหื เพื่อให้ระบบภายในร่างกายทำงานอย่างสมดุล เสริมสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย และเสริมสร้างสมรรถนะของร่างกายให้แข็งแรง 2. รักษาจิตใจให้สดใส สดชื่น ด้วยการฝึกปล่อยวาง และผ่อนคลายจิตใจ ง่าย ๆ ก็อาจจะเริ่มด้วยการทำงานอดิเรกที่ชอบบ้าง อย่าไปหมกมุ่นกับการงานหรือการเรียนเพียงอย่างเดียว สวดมนต์ทำจิตใจให้ป็นสมาธิ ฝึกหายใจช้า ๆ เข้าออกลึก ๆ เพื่อฝึกลมปราณทุกวัน ๆ ละอย่างน้อย 10 ครั้ง รักษาความสุขใจจิตใจ การทำเช่นเช่นนี้จะทำให้ระบบต่าง ๆ ภายในร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ เสริมสร้างระบบประสาท ต่อมไร้ท่อ…
-
การป้องกันระวัง…ไข้มาลาเรียหรือไข้ป่า
การป้องกันระวัง…ไข้มาลาเรียหรือไข้ป่า แม้ในปัจจุบันนี้โรคไข้มาลาเรียจะพบเห็นได้น้อยลงแล้ว แต่หากเป็นในช่วงฤดูฝนที่ฝนตกชุกอยู่ก็อาจเพิ่มการระบาดของโรคนี้ขึ้นมาได้เหมือนกัน เพราะว่าพาหะของโรคนี้คือยุงก้นปล่องที่จะวางไข่เพาะพันธุ์อยู่ตามป่าเขา และลำธาร เมื่อมีผู้คนเข้าไปในพื้นที่ดังกล่าวไม่ว่าจะเป็นการเดินทางผ่านหรือการเข้าไปท่องเที่ยว แล้วหากถูกยุงกัดเข้าก็อาจได้รับเชื้อและกลายเป็นโรคไข้มาลาเรียขึ้นได้ ไข้มาลาเรียหรือไข้ป่านี้เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อโปรโตซัวสี่ชนิดได้แก่ ฟัลซิปารั่ม, ไวแว็กซ์, โอวาเล่ และมาลาริอี เมื่อผู้ป่วยได้รับเชื้อจะมีระยะฟักตัวประมาณ 10-14 วัน แล้วจะมีอาการป่วยเกิดขึ้นคือมีไข้สูงและหนาวสั่น จึงทำให้ชาวบ้านเรียกโรคนี้ว่า ไข้จับสั่น นอกจากจะมีอาการจับไข้แล้ว จะมีภาวะแทรกซ้อนขึ้นด้วย ไม่ว่าจะเป็นมาลาเรียขึ้นสมอง น้ำตาลในเลือดต่ำ ตัวเหลืองซีด ปัสสาวะดำ ไตวาย ปอดบวมน้ำ แล้วก็อาจทำให้ผู้ที่ติดเชื้อเสียชีวิตได้ด้วย ในส่วนของการรักษาโรคมาเลเรียนั้น ก็จะแตกต่างกันไปตามเชื้อแต่ละชนิด จึงจำเป็นต้องตรวจเลือดการเพื่อหาเชื้อแล้วจึงให้ยาทุกครั้ง หากได้รับการรักษาอย่างรวดเร็ว การกินยาเพียงไม่กี่วันก็รักษาให้หายขาดได้แล้ว แต่หากรักษาช้าอาจเกิดอาการแทรกซ้อนที่อันตรายได้ ที่น่าเป็นห่วงมากก็คือปัจจุบันนี้ผู้ป่วยมาเลเรียที่เชื้อดื้อยามากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยกลุ่มนี้ยังมีเชื้ออยู่แล้วเป็นพาหะไปติดคนอื่น ๆ ได้ เมื่อป่วยแล้วจึงรักษาด้วยยาเดิมไม่ได้ผล ดังนั้นหาเป็นมาลาเรียแล้วจึงไม่ควรหายามากินเอง แต่ควรไปพบแพทย์เพื่อรักษาอย่างถูกต้อง อีกทั้งยังควรทานยาให้ครบห้ามหยุดก่อน มิฉะนั้นจะเกิดปัญหาเชื้อดื้อยาขึ้นได้อีกด้วย แม้จะมียาสำหรับป้องกันล่วงหน้าแต่ก็ไม่ควรกินอยู่ดี เนื่องจากยาไม่มีประสิทธิภาพมากพอแล้วยังอาจเป็นสาเหตุของเชื้อดื้อยาได้ง่ายขึ้น ดังนั้นการป้องกันยุงกัดจึงเป็นเรื่องที่สำคัญกว่าในยามที่จำเป็นต้องเดินทางเข้าไปในพื้นที่เสี่ยง ไม่ว่าจะเป็นการไปท่องเที่ยว การเก็บของป่า การเดินทางผ่าน ฯลฯ ควรสวมเสื้อผ้าให้มิดชิด ทายากันยุงและนอนในมุ้งที่ชุบสารเคมีจะดีที่สุดค่ะ
-
ประมวลผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงในการเป็นมะเร็ง
—
by
ประมวลผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงในการเป็นมะเร็ง จากสถิตินับถึงปีปัจจุบันพบว่าคนไทยนั้นเป็นมะเร็งเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว และมีอัตราการตายจากโรคนี้เพิ่มขึ้นมากขึ้นเรื่อย ๆ จนตอนนี้โรคมะเร็งกลายเป็นสาเหตุการตายอันดับที่หนึ่ง แซงหน้าอุบัติเหตุ โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง หรือโรคหลอดเลือดสมอง รวมทั้งโรคปอดไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งโรคมะเร็งที่คร่าชีวิตคนไทยมากเป็นอันดับหนึ่งก็คือ มะเร็งตับ รองลงมาเป็นมะเร็งปอด มะเร็งเต้านม และก็มะเร็งลำไส้ใหญ่ โดยปัจจัยเสี่ยงของการเป็นโรคมะเร็งได้แก่ – ปัจจัยจากสิ่งแวดล้อมภายนอก นั่นคือการได้รับสารก่อมะเร็งที่ปนเปื้อนจากอาหาร, การได้รับรังสีเอกซ์, รังสียูวีจากแสงแดด, การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบทุกชนิด, การติดเชื้อไวรัสแพบพิลโลมา, พยาธิใบไม้ตับ รวมถึงการดื่มเหล้าสูบบุหรี่ด้วย ฯลฯ – ปัจจัยจากความผิดปกติภายใน เช่น พันธุกรรม, ภูมิคุ้มกันบกพร่อง ภาวะทุพโภชนาการ ฯลฯ ซึ่งเราสามารถสรุปกลุ่มผู้ที่เสี่ยงต่อการมะเร็งได้ดังนี้ 1. กลุ่มที่ดื่มเหล้าเป็นประจำ เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งตับ 2. กลุ่มที่สูบบุหรี่ เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งทางเดินหายใจ มะเร็งปอด มะเร็งกล่องเสียง แล้วหากดื่มเหล้าด้วยก็อาจเป็นมะเร็งช่องปากในลำคอได้อีก 3. กลุ่มที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบี หรือทานอาหารที่ปนเปื้อนอะฟลาทอกซิล ที่เป็นเชื้อราที่ปนเปื้อนในอาหาร ทั้งพริกป่น ถั่วลิสงป่น ฯลฯ เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งตับ แล้วถ้าได้รับทั้งสองชนิดก็มีโอกาสในการเป็นมะเร็งตับเพิ่มมากขึ้น 4. กลุ่มที่ติดเชื้อพยาธิใบไม้ในตับ และทานอาหารที่ใส่ดินประสิว…
-
เป็นซีสหรือมะเร็งเต้านมกันแน่นะ?
เป็นซีสหรือมะเร็งเต้านมกันแน่นะ? โดยมากแล้วความเข้าใจของคนทั่วไป มักจะเข้าใจว่าหากคลำพบก้อนบริเวณเต้านม ก็เรียกว่าซีสทั้งหมด ซึ่งบางทีอาจเป็นเรื่องไม่ถูกต้องนัก การจะระบุว่าเป็นซีสหรือก้อนเนื้อชนิดอื่น ความได้รับการตรวจจากแพทย์ให้แน่ชัด คำว่า ซีสในเต้านมนี้มาจากภาษาอังกฤษาว่า Fibrocystic ไฟโบรซีสติก หรือภาวะที่เกิดมีซีสขึ้น เรียกได้อีกอย่างว่า ถุงน้ำนั่นเอง ซีสที่เต้านมนั้นจะมีภาวะเป็นถุงน้ำขึงอยู่ในเนื้อเต้านม มักรวมกันอยู่เป็นหย่อม ๆ เมื่อคลำจากภายนอกจะเป็นก้อน ๆ ใหญ่ ๆ เล็ก ๆ คละกันได้ สาเหตุการเป็นซีสนั้นบอกแน่ชัดไม่ได้ แต่อาจเกิดขึ้นจากภาวะการเปลี่ยนแปลงต่อมเต้านมในร่างกาย แล้วมีน้ำเข้าไปสะสมอยู่ข้างในเนื้อเต้านมแล้วรวมตัวกันเป็นถุงน้ำ ซึ่งถูกควบคุมด้วยฮอร์โมนเอสโตรเจนที่เป็นฮอร์โมนเพศหญิง เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงกับฮอร์โมนเหล่านี้จึงจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงของเนื้อเต้านมจนกลายเป็นถุงน้ำในที่สุด มักจะพบว่าซีสนี้จะโตขึ้นในช่วงที่ประจำเดือนใกล้จะมาและหดตัวลงเมื่อประจำเดือนมาแล้ว อาการของคนที่เป็นซีสเต้านมนั้นมักจะมีอาการปวด หรือเจ็บเนื่องจากน้ำในซีสดันเนื้อเต้านม จนเกิดอาการตึงปวด อาจคลำพบก้อนที่เต้านมด้วย อาจพบได้หลายตำแหน่ง และโต ๆ ยุบ ๆ ตามระยะรอบเดือน ต่างจากมะเร็ง มะเร็งจะเป็นก้อนที่โตขึ้นเรื่อย ๆ และไม่เจ็บกับเมื่อคลำแล้วจะแข็ง ๆ แต่ซีสจะเจ็บและนุ่ม ๆ หยุ่น ๆ ได้ ซึ่งลักษณะที่แตกต่างกันนี้คือจุดที่แยกกันระหว่างซีสกับมะเร็งเต้านม แต่ก็มีวิธีอื่นในการจำแนกว่าเป็นซีสหรือมะเร็งกันแน่ก็ด้วยการทำอัลตราซาวด์ กับอีกวิธีก็คือใช้เข็มฉีดยาเจาะดู หากเป็นซีสเมื่อเจาะแล้วจะได้น้ำออกมาและก้อนจะยุบตัวหายไป แต่หากเป็นก้อนเนื้อแพทย์จะนำไปพิสูจนอีกทีว่าเป็นก้อนเนื้อชนิดไหนกันแน่…
-
แนวทางการรักษา…โรคมะเร็งแบบผสมผสาน
แนวทางการรักษา…โรคมะเร็งแบบผสมผสาน เพราะบนโลกนี้นั้นจะมีผู้เสียชีวิตเพราะโรคมะเร็งกันนาทีละเกือบ 10 คนเลยนะคะ อีกทั้งจำนวนผู้ป่วยโรคมะเร็งยังเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ อีกด้วย จนตอนนี้ก็กลายเป็นสาเหตุการตายอันดับหนึ่งของคนไทยไปแล้ว เมื่อผู้ป่วยทราบว่าตนเองหรือญาติสนิทเป็นมะเร็ง มักจะมีอาการสับสนและกระวนกระวาย พร้อมกับตื่นตระหนัก เพราะเข้าใจว่าโรคมะเร็งนั้นเป็นแล้วรักษาไม่หาย การมีชีวิตที่เหลือจึงอยู่อย่างสิ้นหวัง แต่ความจริงแล้วปัจจุบันนี้โรคมะเร็งสามารถวินิจฉัยด้วยการตรวจสุขภาพและการตรวจเองที่บ้านได้แล้ว เช่น มะเร็งเต้านม ฯลฯ และเมื่อตรวจพบแล้วก็สามารถรักษาให้หายขาดได้ โรคมะเร็งบางชนิดนั้นอาจมีวิธีการรักษาหลาย ๆ วิธีรวมกันซึ่งจะช่วยยืดอายุออกไปได้ แต่ก็มีอยู่บ้างชนิดที่รักษาไม่ได้หรือให้ผลการรักษาที่ไม่ดี ดังนั้นจึงเกิดการค้นคว้าศึกษาเพื่อหาวิธีใหม่ ๆ ในการรักษาโรคมะเร็ง เพื่อให้ได้ผลที่ดีและมีผลข้างเคียงที่น้อยที่สุดอย่างต่อเนื่อง โรงพยาบาลบางแห่งจึงเลือกใช้เทคนิคการแพทย์แบบองค์รวม หรือ Holistic Medicine มาดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็ง ได้แก่การนำเอาการแพทย์แผนปัจจุบัน ทั้งการผ่าตัด การทำเคมีบำบัด การฉายรังสี เข้ามาร่วมกับการแพทย์ทางเลือก เช่น การใช้สมุนไพรเป็นต้น เพราะวิธีทางการแพทย์แผนปัจจุบันมีความสามารถในการทำลายก้อนมะเร็งสูงมากแต่ก็ทำลายเซลล์ปกติ ไปด้วย นั่นจึงทำให้เกิดผลข้างเคียงมากมาย การนำเอาแพทย์ทางเลือกมาช่วยเสริมประสิทธิภาพการรักษายังทำให้อาการดีขึ้นแล้วยังลดความทรมานจากผลข้างเคียงอันไม่พึงประสงค์ได้อีก ทำให้ผุ้ช่วยมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นช่วยการรักษาเป็นไปอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ไม่ต้องหยุดหรือเลื่อนการรักษา รวมไปถึงผู้ป่วยที่ไม่ต้องการรักษาตามแผนปัจจุบันยังสามารถรับยาหรือรักษาแบบเสริมเข้าไปช่วยได้เช่นกัน แต่อย่างไรก็ดี สมุนไพรรักษาโรคมะเร็งก็มีข้อเสียตรงที่ออกฤทธิ์ช้าจึงไม่เห็นผลในทันที แต่ไม่มีผลกระทบต่อร่างกาย การรักษาโรคมะเร็งจึงควรใช้ทั้งสองแผนนี้ควบคู่กันไปจึงจะทำให้ประสิทธิภาพการรักษาที่สูงสุด ดังนั้นการรักษาโรคมะเร็งจึงควรใช้การแพทย์ทั้งสองแบบควบคู่กันไป และที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก้คือคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย เพราะแม้การแพทย์แผนปัจจุบันจะมีประสิทธิภาพในการรักษาสูงมากแต่ก็มีผลข้างเคียงที่ทำให้เจ็บปวดทั้งกายใจกับผู้ป่วยไม่น้อยเลย การฟื้นฟูภูมิคุ้มกัน และจิตใจไปด้วยจึงเป็นเรื่องที่สำคัญเช่นกัน เพื่อให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งสามารถทนต่ออาการข้างเคียงของการรักษาที่รุนแรงได้…
-
เลือกกินน้ำมันอย่างไรให้ปลอดภัย
เลือกกินน้ำมันอย่างไรให้ปลอดภัย เพราะการโฆษณาทั้งสื่อทีวีและโทรทัศน์นั้นมีผลต่อการกินอยู่ของเราคนไทยมาก สินค้าอุปโภคบริโภคทั้งหลายจึงได้นำเอาคอนเซปท์ในเรื่องของคำว่า “เพื่อสุขภาพ” เข้ามาเป็นดึงดูดใจ เช่น น้ำมันพืชที่ไม่มีคอเลสเตอรอล เป็นต้น อาจทำให้คนที่รับชมโฆษณเข้าใจว่าพอไม่มีคอเลสเตอรอลแล้ว สามารถทานเท่าไรก็ได้ ไม่ก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ แต่ความจริงแล้วนี่เป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะการเลือกใช้น้ำมันพืชในการประกอบอาหารรวมทั้งการเลือกทานอาหารนอกบ้าน ล้วนเป็นปัจจัยในการควบคุมคอเลสเตอรอลทั้งสิ้น จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลกและองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติได้แนะนำให้คนเราควรกินไขมันที่ดีต่อสุขภาพ โดยได้พลังงานจากไขมันไม่เกินร้อยละ 30 ของพลังงานทั้งหมดในแต่ละวัน โดยได้จากกรดไขมันอิ่มตัวไม่เกินร้อยละ 10 สำหรับผู้ที่มีร่างกายปกติ และไม่เกินร้อยละ 7 สำหรับคนที่มีภาวะเสี่ยงต่อโรคหัวใจ หรือหากจะคิดให้ง่ายเข้าก็คือทานน้ำมันได้ไม่เกิน 4 ช้อนชาต่อวันนั่นเอง ดังนั้นการเลือกน้ำมันสำหรับปรุงอาหารควรเลือกใช้ดังนี้ – น้ำมันสำหรับการปรุงที่ใช้อุณหภูมิสูง เช่น การผัดไฟแรง การทอด ควรเลือกใช้น้ำมันรำข้าว น้ำมันถั่วลิสง น้ำมันเมล็ดชา และน้ำมันดอกคำฝอย – น้ำมันสำหรับการปรุงอาหารที่ใช้ความร้อนไม่สูงนักแนะนำเป็น น้ำมันข้าวโพด น้ำมันถั่วเหลือง และน้ำมันดอกทานตะวัน – และน้ำมันสำหรับการปรุงอาหารที่ผ่านความร้อน หรือผ่านความร้อนต่ำ ควรเลือกใช้น้ำมันมะกอก น้ำมันงา น้ำมันมะพร้าว และเนย แม้บนฉลาดของน้ำมันจะเขียนว่ามีคลอเลสเตอรอลต่ำ แต่ความจริงแล้วยังไม่ไขมันทรานส์ที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกายมากกว่าไขมันอิ่มตัวเสียอีก ซึ่งควรหลีกเลี่ยงมากที่สุด้วยเพราะจะไปเพิ่มคอเลสเตอรอลตัวไม่ดี หรือ LDL ให้มากขึ้น…
-
เคล็ดลับ 5 ประการห่างไกลมะเร็งตับ
เคล็ดลับ 5 ประการห่างไกลมะเร็งตับ “ตับ” ถือได้ว่าเป็นอวัยวะที่ใหญ่ที่สุดภายในร่างกาย จะอยู่ภายในช่องท้องบริเวณชายโครงด้านขวา หน้าที่ขอตับก็คือช่วยขจัดของเสียสะสมในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็น ยา สารเคมี หรือสารพิษที่ร่างกายไม่ต้องการ ทำหน้าที่เหมือนคลังสะสมอาหารเพื่อเป็นพลังงานไปหล่อเลี้ยงและสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายด้วย นับเป็นหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่และสำคัญมากของร่างกาย แต่หากเราดูแลร่างกายเราไม่ดีก็อาจทำให้เกิดโรคตับขึ้นได้ โดยโรคตับนี้อาจเกิดจากหลายสาเหตุไม่ว่าจะเป็นการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบทุกชนิด การดื่มเหล้า การทานยาบางชนิด ทั้งยาฆ่าเชื้อ ยาคุมกำเนิด และที่พบบ่อยก็คือไขมันพอกตับในผู้ที่เป็นโรคอ้วน ซึ่งสาเหตุเหล่านี้อาจทำให้ตับอักเสบ และกลายเป็นตับแข็งหรือมะเร็งตับได้ด้วย เคล็ดลับ 5 ประการที่จะช่วยให้เราห่างไกลมะเร็งตับมีดังต่อไปนี้ 1. ผู้ที่มีอาการป่วยเกี่ยวกับโรคตับควรตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ และไปพบแพทย์ตามนัดอย่างเคร่งครัด ปฏิบัติตามแพทย์แนะนำ ส่วนคนทั่วไปที่ยังไม่เป็นโรคตับก็ควรป้องกันตนเองจากอาการอักเสบ 2. ห่างไกลอาหารที่ปนเปื้อนสารพิษทั้งหลาย รวมไปถึงหลีกเลี่ยงการดื่มเหล้า เบียร์ ไวน์ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั้งหมด เพราะอาจทำลายเซลล์ตับได้มากกว่าอวัยวะอื่น ๆ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงได้อีกก็คือของหมักดอง ที่อาจมีการปนเปื้อนของเชื้อโรค อาหารปิ้ง ๆ ย่าง ๆ หรือทอดน้ำมัน เพราะมีสารก่อมะเร็งเป็นจำนวนมาก อาหารที่มีไขมันสูงก็เช่นเดียวกัน และรวมไปถึงยาบางชนิด เช่น ยาแก้ปวดข้อ ยาคุม ยาฆ่าเชื้อที่อาจส่งผลเสียต่อตับได้ 3. หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ จะช่วยให้ร่างกายมีน้ำหนักตัวที่เหมาะสม…
-
ดูแล…อาการปวดศีรษะด้วยตัวคุณเอง
ดูแล…อาการปวดศีรษะด้วยตัวคุณเอง การปวดศีรษะเป็นอาการป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่พบเห็นได้บ่อย ๆ อยู่แล้ว ซึ่งสามารถก็ได้แก่ การใช้สายตานานและมากเกินไป นอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ มีความเครียดหรือมีปัญหาจากไมเกรน ซึ่งการดูแลอาการปวดศีรษะเหล่านี้แบบเบื้องต้นก็คือการให้ยาหม่องทาถูกนวดบริเวณจุดที่ปวด หากยังไม่หายดีก็ให้ทานยาพาราเซตามอลตามขนาด แล้วหากยังไม่หายขาดก็ควรรีบไปพบแพทย์ทันที แต่หากเป็นอาการปวดหัวที่เกิดจากความเครียดควรผ่อนคลายตัวเองลง แล้วหาทางพักผ่อน อาจเป็นการทำจิตใจให้ผ่อนคลาย นอนหลับให้เพียงพอ อาบน้ำสบาย ๆ แล้วพักผ่อนก็จะช่วยได้ด้วย หรือในบางกรณีอาจปรึกษานักจิตวิทยาเพื่อช่วยกันหาทางออกก็ได้ สำหรับผู้ที่มีอาการปวดหัวไมเกรน ซึ่งก็ไม่มีอันตรายร้ายแรงมาก โรคปวดหัวไมเกรนนี้มักเกิดกับผู้ท่มีอายุตั้งแต่ 15-55 ปี โดยเริ่มปวดครั้งแรกเมื่อเข้าสู่วัยรุ่นหรือวัยทำงาน โดยเริ่มจากตาพร่า เวียนศีรษะ หรือคลื่นไส้ แล้วจะจะปวดตุบ ๆ ตรงขมับข้างเดียวหรือสองข้าง และจะรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ระยะเวลาการปวดอาจนานเป็นชั่วโมงหรือนานถึง 1-2 วัน อาจเป็น ๆ หาย ๆ ตามสิ่งที่กระตุ้น ซึ่งหากท่านมีอาการไมเกรนควรดูแลตนเองดังต่อไปนี้ 1. เมื่อเริ่มปวดหัว ให้ทานยาพาราเซตามอลทันที 1-2 เม็ด เพราะหากปล่อยไว้เกินครั้งชั่วโมง ยาแก้ปวดจะใช้ไม่ได้ผล เมื่อทานยาแล้วควรทานพักในห้องเย็น ๆ…
-
วิธีดูแลตัวเองจากโรคติดต่อไม่เรื้อรัง 5 โรค
วิธีดูแลตัวเองจากโรคติดต่อไม่เรื้อรัง 5 โรค โรคติดต่อไม่เรื้อรังนั้นมักถูกเข้าใจว่าน่าจะเป็นโรคของประเทศที่พัฒนาแล้ว แต่ความจริงแล้วหาเป็นเช่นนั้นไม่ โรคติดต่อไม่เรื้อรัง 5 โรคนี้เป็นปัญหาของประเทศกำลังพัฒนาต่างหาก เพราะขาดความพร้อมในการดูแลรักษาผู้ป่วยจากโรคแทรกซ้อนอื่น ๆ อีกทั้งยังต้องใช้ค่าใช้จ่ายสูงมากด้วย โรคทั้งห้านี้ได้แก่ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน หลอดเลือดสมอง หลอดเลือดหัวใจ และโรคมะเร็ง ซึ่งผู้ป่วยโรคเหล่านี้มีอัตราเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทุกปี แล้วยังเป็นโรคที่ทำให้ผู้ป่วยเป็นอัมพาตหรือพิการเพิ่มขึ้นด้วยนะ สาเหตุของโรคทั้งห้าชนิดนี้ มักเป็นบุคคลที่ชอบทานอาหารหวานจัด เค็ม หรือมีไขมันสูง ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ มีความเครียดมากแล้วไม่ค่อยรู้จักการผ่อนคลายกับทั้งยังขาดการออกกำลังกาย ฯลฯ จึงทำให้เป็นโรคอ้วนตามมา การที่มีไขมันสะสมในช่องท้องมากนี้ ไขมันจะแตกตัวเป็นกรดไขมันจะแตกตัวเป็นกรดไขมันอิสระเข้าสู่ตับ ส่งผลให้อินซูลินออกฤทธิ์ได้ไม่ดีนัก จึงเป็นต้นเหตุของโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หลอดเลือดสมอง โรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคแทรกซ้อนอื่น ๆ ตามมา ไม่ว่าจะเป็นอาการอัมพฤกษ์ อัมพาต หัวใจวาย ตับวาย ไตวาย และอาจเสียชีวิตได้ หากจะวัดกันที่ดัชนีรอบเอวจะพบว่ารอบเอวที่เพิ่มขึ้นทุก 5 เซนติเมตรจะเพิ่มโอกาสการเป็นโรคเบาหวานสูงขึ้นถึง 3-5 เท่า หมายถึงว่ายิ่งพุงใหญ่เท่าไรก็ยิ่งตายเร็วเท่านั้น โรคเกณฑ์การจำแนกว่าเป็นโรคอ้วนลงพุงของคนไทยก็คือ หากผู้ชายมีรอบเอวเกิน 90…