Author: pure

  • วิธีปฏิบัติเมื่อพบคนเป็นลม!

    วิธีปฏิบัติเมื่อพบคนเป็นลม!

    วิธีปฏิบัติเมื่อพบคนเป็นลม! แม้เราจะพบเห็นคนเป็นลมกันได้ไม่บ่อยนัก แต่การเรียนรู้วิธีปฐมพยาบาลคนเป็นลมไว้ก่อนก็เป็นเรื่องดี เพราะวันหนึ่งคนที่เกิดเป็นลมขึ้นมาอาจเป็นญาติสนิท คนรักของคุณก็ได้นะคะ อาการเป็นลม เกิดจากเซลล์สมองมีเลือดไปหล่อเลี้ยงไม่พอชั่วขณะ จึงทำให้หมดสติอยู่ชั่วขณะหนึ่งแล้วฟื้นได้เองในภายหลัง ซึ่งปัจจัยที่ทำให้เลือดไปเลี้ยงเซลล์สมองน้อยลงนั้นก็เกิดได้หลายอย่าง ที่พบบ่อยที่สุด ก็มักจะพบในที่ที่มีคนแออัด อากาศร้อนหรืออยู่กลางแดดจ้า มักจะมีอาการใจหวิว มีเสียงดังก้องในหู มองเห็นภาพเป็นจุดหรือตามัว หน้าซีด เหงื่อออก คลื่นไส้ มือเท้าเย็น ชีพจรเต้นช้าลง แขนขาอ่อนแรง ทรงตัวไม่อยู่ แล้วทรุดลงหมดสติไป แต่หลังจากผ่านไปเพียง 1-2 นาทีก็จะฟื้นขึ้นได้เอง เมื่อเราพบเห็นคนเป็นลมนั้น ควรปฐมพยาบาลดังนี้ค่ะ – จัดท่านอนให้ผู้ป่วยนอนศีรษะต่ำกว่าเท้า หรือยกเท้าขึ้น ในที่ที่มีอากาศปลอดโปร่ง อย่าให้คนมุง ปลดเสื้อผ้าที่รัดแน่น รวมทั้งเข็มขัดออก เพื่อให้เลือดไปเลี้ยงสมองได้เร็วขึ้นและพอเพียง – นำผ้าเช็ดเช็ดตามใบหน้า ลำตัว ลำคอ แขนขา – หากผู้ป่วยยังไม่ฟื้นยังไม่ควรให้น้ำหรืออาหารอื่น ๆทางปากเพราะอาจสำลักได้ – เมื่อผู้ป่วยรู้สึกตัวฟื้นขึ้นมาอย่าเพิ่งให้นั่งทันที ควรให้พักต่อประมาณ 15-20 นาทีเพื่อให้เลือดไหลเวียนไปหล่อเลี้ยงสมองได้เต็มที่ก่อน – เมื่อผู้ป่วยรู้สึกตัวดี ลุกขึ้นนั่งได้แล้ว ให้ดื่มน้ำหวานหรือดื่มน้ำหากรู้สึกกระหาย – หากผู้ป่วยไม่ฟื้นใน…

  • การดูแลสุขภาพของสาวใหญ่วัย 40 ปีขึ้นไป

    การดูแลสุขภาพของสาวใหญ่วัย 40 ปีขึ้นไป

    การดูแลสุขภาพของสาวใหญ่วัย 40 ปีขึ้นไป หญิงสาวที่อายุเข้า 40 ปีขึ้นไปนั้นจะเริ่มมีภาวะที่ขาดฮอร์โมนเพศหญิงจึงส่งผลกระทบอย่างมากต่อร่างกาย จิตใจ อารมณ์ รวมทั้งเกิดอาการต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิต ที่พบเห็นได้บ่อย ๆ ก็ได้แก่ – ประจำเดือนมาไม่คงที่ บางช่วงก็มาแบบถี่ ๆ บางทีก็ทิ้งช่วงหลายเดือน สลับกับมาสม่ำเสมอ บางคนก็มีเลือดออกแบบแปลก ๆ อาจมามากสลับกับปกติ หรือมีห้วงเวลาที่แปรปรวน ร้อนวูบวาบ และจะมีความเปลี่ยนแปลงมากที่สุดในระยะ 2-3 ปีแรกที่ประจำเดือนหมด โดยอาจมีเวลาที่สั้นยาวแตกต่างกันไป แต่ส่วนใหญ่จะเบาบางลงในระยะเวลาประมาณ 1-2 ปี – นอนไม่หลับ หรือนอนหลับยาก ตื่นบ่อย ตื่นกลางดึก ตื่นเช้ากว่าปกติ หงุดหงิด อารมณ์แปรปรวน ซึมเศร้า – ปัญหาของช่องคลอดที่เกิดจากฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง จึงทำให้เนื้อเยื่อของผนังช่องคลอดบางลง มีความยืดหยุ่นและสารหล่อลื่นลดลง เมื่อร่วมเพศจึงรู้สึกแสบ เจ็บไม่ค่อยสะดวกนัก – เมื่อเข้าสู่วัยทอง การผลิตคอลลาเจนก็จะลดลงด้วย ผิวหนังของสาววัยหมดประจำเดือนจึงเริ่มบางลง ยืดหยุ่นตัวลดลง ผิวแห้งและเห็นรอยเหี่ยวย่นมากขึ้น – ภาวะกระดูกพรุน…

  • 10 บัญญัติเพื่อป้องกันโรคทางเดินอาหารทุกชนิด

    10 บัญญัติเพื่อป้องกันโรคทางเดินอาหารทุกชนิด

    10 บัญญัติเพื่อป้องกันโรคทางเดินอาหารทุกชนิด การกินเนื้อสัตว์ดิบ ๆ เป็นวัฒนธรรมการกินของชาวภาคเหนือ รวมไปถึงภาคอื่น ๆ ในบางจังหวะด้วย ซึ่งการทานอาหารเช่นนี้ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพอย่างมาก ดังนั้นวิธีที่ง่ายที่สุดที่จะหลีกหนีภัยเช่นนี้ก็คือทานอาหารสุกสะอาดทุกชนิดนั้นเอง รับรองว่าปลอดภัยอย่างแน่นอน แล้วนอกจากนั้นเรายังนำบัญญัติ 10 ประการมาให้คุณ ๆ ทั้งหลายได้ปฏิบัติตามเพื่อป้องกันการติดเชื้อในทางเดินอาหารแทบทุกโรคด้วยค่ะ 1. ทานอาหารที่ปรุงสุกเต็มที่ด้วยความร้อนแล้วเท่านั้น หลีกเลี่ยงอาหารที่ปรุงด้วยเนื้อสัตว์สุก ๆ ดิบ ๆ ไม่ว่าจะอร่อยขนาดไหนก็ตาม 2. ทานอาหารที่ปรุงเสร็จใหม่ ๆ ร้อน ๆ เพื่อป้องกันเชื้อแบคทีเรียที่เติบโตได้ในอากาศร้อน 3. อาหารที่ปรุงสุกแล้วหากยังไม่ทานทันที ควรเก็บใส่กล่องให้ปลอดภัยจากแมลง หรือในตู้เย็น ก่อนการนำมาทานทุกครั้งควรอุ่นให้ร้อนอย่างทั่วถึงก่อนทานด้วย และไม่ควรเก็บไว้ค้างมื้อ 4. แยกมีด แยกเขียง ช้อนและอุปกรณ์การทำอาหารทั้งหมดออกจากกันระหว่างอาหารที่สุกแล้วและอาหารที่ยังดิบอยู่ หรือยังไม่ได้ล้าง เพื่อป้องกันการปนเปื้อนเชื้อระหว่างกัน 5. เลือกทานแต่อาหารที่ผลิตอย่างสะอาดและปลอดภัย ไว้ใจได้ ผักผลไม้ต้องล้างให้สะอาดปลอดจากสารเคมีให้มากที่สุด 6. ก่อนทานอาหารและหลังการทานอาหารต้องล้างมือด้วยน้ำสะอาดและสบู่ทุกครั้ง รวมทั้งภายหลังการเข้าห้องน้ำ ควรใช้ช้อนกลางตักอาหารทุกครั้งด้วย 7. ทำความสะอาดอุปกรณ์การทำครัว โต๊ะปรุงอาหาร ล้างน้ำ ต้องล้างให้สะอาดทุกครั้งหลังการทำอาหารสด เพราะเชื้อโรคอาจปนเปื้อนบนพื้นที่เหล่านี้ได้ง่าย…

  • เนื้อสัตว์ดิบๆ ทำให้คุณเสียชีวิตโดยไม่ทันรู้ตัว

    เนื้อสัตว์ดิบๆ ทำให้คุณเสียชีวิตโดยไม่ทันรู้ตัว

    เนื้อสัตว์ดิบๆ ทำให้คุณเสียชีวิตโดยไม่ทันรู้ตัว แทบทุกภาคของประเทศไทย ต่างก็มีอาหารประจำภาคที่นำเอาเนื้อสัตว์ดิบ ๆ มาทำเป็นอาหารทั้งนั้น นัยว่าอร่อยถูกปากกว่าเนื้อสัตว์ที่ปรุงจนสุก เช่น ลาบหรือหลู้ทางภาคเหนือมักนิยมใช้เนื้อหมูปนเลือดสด หรือเนื้อวัว เนื้อควายมาปรุงทาน เพราะมีรสอร่อยกว่า ทั้งที่ความจริงแล้วอาหารแบบนี้เสี่ยงต่ออันตรายอย่างมาก เพราะในเนื้อดิบ ๆ นั้นมีเชื้อแบคทีเรียและพยาธิอื่น ๆ ปะปนอยู่มาก ดังที่มีข่าวการเสียชีวิตจากการทานของดิบ ๆ อยู่เนือง ๆ เพราะมีคนที่มักเข้าใจผิดเอาความอร่อยเพียงไม่กี่มื้อแลกกับชีวิตของตัวเองมากนักต่อนักแล้วนั่นเอง เนื้อสัตว์ดิบทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นหมู วัว ควาย นก สัตว์ป่าต่าง ๆ รวมไปถึงปลาน้ำจืด กุ้ง ปลาดิบ อาหารหมักดองพวก แหนม ปลาส้ม ปลาจ่อม อาหารทะเลสุก ๆ ดิบ ๆ ทำให้เกิดความเสี่ยงการเกิดโรคภัยต่อร่างกายนับไม่ถ้วน ทั้งโรคจากพยาธิที่ปนเปื้อนในเนื้อสัตว์ พยาธิใบไม้ตับ พยาธิขึ้นสมอง มะเร็งท่อน้ำดี เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ที่ทำให้มีไข้สูง ปวดหัว คลื่นไส้อาเจียน หูดับ ตาบอด ชัก เป็นอัมพาต บางอาจก็อาจทำให้เยื่อหุ้มหัวใจ…

  • อ้วนตั้งแต่เด็ก….เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งสูง

    อ้วนตั้งแต่เด็ก….เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งสูง

    อ้วนตั้งแต่เด็ก….เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งสูง เพราะการกินอยู่เดี๋ยวนี้สะดวกขึ้นมาก  ไม่ว่าจะเป็นอาหารที่ขายตามหน้าโรงเรียน ตามทางเท้า ตามร้านสะดวกซื้อหรือห้างซุปเปอร์สโตร์ขนาดใหญ่ที่เปิดอยู่แทบทุกหัวถนน  อีกทั้งพ่อแม่ยังเก็บอาหาร ขนมต่าง ๆ เอาไว้ให้ลูกเพราะกลัวตัวเองจะมีเวลาว่างไม่มากพอสำหรับการดูแลอาหาร  เด็ก ๆ จึงไม่ค่อยได้ทานอาหารที่มีประโยชน์มากนัก กลับถึงบ้านก็กินขนมดูทีวี ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายวิ่งเล่นมากเท่าที่ควร เด็กสมัยนี้จึงอ้วนลงพุงแต่เล็กกันเยอะมาก ปัจจุบันนี้มีผลสำรวจพบว่าเด็กหรือเด็กวัยรุ่นที่มีค่าดัชนีมวลกายมากกว่าค่าเฉลี่ยตั้งแต่ระดับช่วงต้นของชีวิตนั้นจะทำให้เด็ก ๆ มีโอกาสการเป็นมะเร็งสูงกว่าเด็กวัยเดียวกันที่มีน้ำหนักในเกณฑ์มาตรฐานถึงร้อยละ 35  และเมื่อโตขึ้นแล้วเริ่มออกกำลังกายหรือลดน้ำหนัก และปรับการกินอาหารแล้วความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งก็มิได้ลดลงไปอยู่ดี นอกจากนี้แล้วค่าดัชนีมวลกายที่สูงตั้งแต่อายุ 18 ปี จะนำไปสู่การเป็นมะเร็งในเวลาต่อมาสูงยิ่งกว่าคนที่มีค่าดัชนีมวลกายสูงในช่วงวัยกลางคนเสียอีก ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า การรักษาสุขภาพที่ดีไว้ตลอดชีวิตตั้งแต่เด็กจนโตนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญมากกว่าการมาดูแลสุขภาพในช่วงวัยโตหรือวัยกลางคนแล้ว  ดังนั้นเด็กและวัยรุ่นจึงไม่ควรปล่อยตัวให้อ้วนน้ำหนักเกิน เพื่อลดโอกาสการเป็นมะเร็งนั้นเอง ความรับผิดชอบนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวของเด็กเท่านั้น แต่ผู้ปกครองที่ดูแลเด็กควรมีส่วนร่วมและเป็นผู้นำในการจัดการปรับวิถีการกินและการใช้ชีวิตของเด็ก ให้มีสุขภาวะที่ดี  ปรับตารางการเรียน การเล่น ให้เด็กได้มีโอกาสออกกำลังกายอย่างเหมาะสม ได้ทานอาหารที่สะอาดปลอดภัย และมีคุณค่าทางอาหารครบถ้วน ลดละการให้เด็กทานอาหารที่มีไขมันสูง น้ำตาลมาก แป้งมาก โดยเฉพาะจังค์ฟู้ดทุกสัญชาตินั่นล่ะตัวดี และที่สำคัญที่สุดก็คือหากอยากให้เด็กหรือวัยรุ่นมีสุขภาพแข็งแรงแล้วล่ะก็  การมีพ่อแม่เป็นแบบอย่างในการปฏิบัติตัวกลับเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่จะทำให้ลูก ๆ ของเรามีอายุยืนยาวและสุขภาพแข็งแรง กับมีความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งลดลงอีกด้วยค่ะ    

  • หลักการดูแลสุขภาพ…เพื่อชีวิตห่างไกลมะเร็ง

    หลักการดูแลสุขภาพ…เพื่อชีวิตห่างไกลมะเร็ง

    หลักการดูแลสุขภาพ…เพื่อชีวิตห่างไกลมะเร็ง ไม่มีใครอยากให้ร่างกายที่เราแสนรักนี้เป็นโรคหรอกค่ะ ไม่ว่าจะเป็นโรคใดก็ตาม ยิ่งหากเป็นโรคร้ายที่รักษายากหรือมีเกณฑ์การเสียชีวิตสูงแล้ว เราคงแทบจะตายกันไปในวันที่ทราบข่าวนั้นเลย โรคมะเร็งนี้เป็นหนึ่งในโรคที่คุกคามร่างกายและจิตใจของผู้ป่วยและคนใกล้ชิดมาก ดังนั้นเรามาใช้ชีวิตตามหลักธรรมดาเพื่อดูแลร่างกายของเราให้ห่างไกลจากมะเร็งกันดีกว่าค่ะ 1. เลิกบุหรี่ ไม่ควรสูบบุหรี่ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นบุหรี่ในรูปแบบไหน อีกทั้งยังไม่ควรเข้าไปสูดดมควันบุหรี่จากผู้อื่นด้วย เพราะพิษจากควันบุหรี่นั้นสามารถทำให้เป็นมะเร็งได้หลายส่วน ไม่ว่าจะเป็นมะเร็งปอด มะเร็งกล่องเสียง มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ การเลิกสูบบุหรี่สามารถลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งปอดได้ถึงร้อยละ 90 แล้วยังทำให้คนใกล้ชิดปลอดภัยจากโรคนี้เพิ่มขึ้นด้วย 2. เลิกมีพฤติกรรมสำส่อนทางเพศ ไม่ว่าจะเพศใดการสำส่อนทางเพศก็เป็นต้นตอของโรคมะเร็งได้ทั้งนั้น ยิ่งโดยเฉพาะเพศหญิงที่มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อย และมีหลายคู่ รวมไปถึงการติดเชื้อไวรัสหูดจะเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งปากมดลูกมาก ดังนั้นทุกครั้งจึงควรสวมถุงยางอนามัยและเลิกพฤติกรรมสำส่อนทางเพศ 3. เลิกเหล้า หากดื่มอยู่ก็ควรลดละเลิกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้หมด หรือไม่ดื่มเลยจะดีที่สุด หากต้องการดื่มให้ดื่มได้วันละ 2 แก้ว สำหรับเพศชายและ 1 แก้วเท่านั้นสำหรับเพศหญิง เพราะการดื่มหนัก ๆ จะทำให้สะสมสารก่อมะเร็งในช่องปาก กดภูมิต้านทานโรค ทำให้เป็นพิษต่อตับและตับอ่อน จึงเสี่ยงต่อมะเร็งตับมาก 4. หลบแดดเสมอ โดยเฉพาะแสงแดดที่มีรังสียูวีจัดจ้าในช่วงเวลาตั้งแต่แปดโมงเช้า ถึงบ่ายสี่โมงหรือจำเป็นต้องออกแดดก็ให้ทาครีมกันแดด แล้วสวมหมวก กางร่ม สวมแว่นกันแดด หรือสวมเสื้อแขนยาวสำหรับการรังสียูวีด้วยจะดีค่ะ 5. หลีกเลี่ยงการทานปลาน้ำจืดดิบ ๆ สุก ๆ…

  • หัดเด็ก…ให้กินผักตั้งแต่เล็ก

    หัดเด็ก…ให้กินผักตั้งแต่เล็ก

    หัดเด็ก…ให้กินผักตั้งแต่เล็ก เดี๋ยวนี้เราจะเห็นเด็ก ๆ มากมายที่ไม่ค่อยกินผักสักเท่าไร แถมยังชอบกินอาหารจังก์ฟู้ดที่มีไขมันสูงด้วย เด็กตัวอ้วนกลม ไม่แข็งแรง ขี้โรคจึงเต็มโรงเรียนอนุบาลไปหมด หากไม่หัดให้เด็กกินผักบ้างจะทำให้ร่างกายของเขาขาดเส้นใยอาหาร การขับถ่ายก็ไม่ดี ท้องอืด ท้องผูก และไม่ได้รับการขับถ่ายพิษออกมา แล้วยังอาจทำให้ขาดวิตามินและแร่ธาตุมากมายจากผักอีกด้วย ความจริงแล้วการหัดให้เด็กทานผักนั้นควรเริ่มตั้งแต่หลังจากเริ่มหย่านม ก็คือตั้งแต่อายุ 6 เดือนขึ้นไป โดยควรเลือกผักให้ลูกทานพร้อมอาหารหลักที่มีสารอาหารครบห้าหมู่ แล้วจึงค่อยๆ สร้างความคุ้นเคยให้เด็กกินอาหารอื่นนอกจากนมให้มากขึ้นตามลำดับ การหัดให้เด็กได้ลองกินผักมื้อแรกนั้นเป็นจุดที่สำคัญมาก ควรให้เด็กทานผักนิ่ม ๆ ก่อน เช่น ฟักทอง แครอท ผักกาดขาด ตำลึง ซึ่งลูกอาจปฏิเสธในครั้งแรก แต่ควรอดทนและลองพยายามใหม่ ซึ่งอาจลองเปลี่ยนเป็นผักนิ่ม ๆ ชนิดอื่นบ้าง การให้ลูกกินผักนั้นไม่ควรบังคับหรือขัดใจ ควรทำให้เด็กรู้สึกมีความสุขและสนุกในการกิน เพื่อให้รู้สึกดีกับการกินผัก หาไม่แล้วเด็กอาจเกลียดการกินผักไปเลยก็ได้ถ้าคุณเคี่ยวเข็ญหรือลงโทษ หลังจากเริ่มจากผักนิ่ม ๆได้แล้ว ควรทำให้เด็กคุ้นเคยกับผักที่มีกลิ่นฉุนมากขึ้นเช่น ต้นหอม ผักชี ขึ้นฉ่าย โดยให้เด็กทานตั้งแต่อายุ 9-10 เดือน เพราะในระยะนี้เด็กยังไม่รู้จักเลือกรสและกลิ่นของผักจึงสามารถกินได้ทุกอย่าง ซึ่งปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เด็กกินผักได้ก็คือ พ่อแม่ต้องเป็นตัวอย่างที่ดี ต้องกินผักให้เด็กเห็น และชมเชยลูกทุกครั้งที่เด็กชอบผักและอยากกินผัก สิ่งที่สำคัญที่สุดนั้นก็คือ เด็กต้องมีผู้ใหญ่เป็นแบบอย่างของการกินที่ดีนั้นเอง…

  • พูดดีเป็นศรีแก่ปาก และอนาคตของเรา

    พูดดีเป็นศรีแก่ปาก และอนาคตของเรา

    พูดดีเป็นศรีแก่ปาก และอนาคตของเรา คำพูด.. เป็นสิ่งที่แสดงถึงวิธีคิดและวิธีการมองโลกของคน ๆ นั้น เป็นสิ่งที่บอกได้ว่าถูกเลี้ยงดูปลูกฝังมากอย่างไร ใครคิดอะไรอยู่ในหัวก็พูดอย่างนั้นออกมา เช่น คนที่คลุกคลีกับการพนันขันต่อ พูดอะไรก็มักจะเป็นเรื่องของการพนันไปเสียหมด และเด็กที่มีพ่อแม่หรือผู้ปกครองแบบไหน โตมาก็มักจะได้ตัวอย่างการพูดจาแบบนั้นมาด้วย ถ้าพูดจาดี พูดเพราะก็ทำให้ชีวิตดี มีคนเกรงใจ น่าฟังน่าเสวนาด้วย แต่หากพูดจามะนาวไม่มีน้ำ ต่อให้สวยหล่อขนาดไหน หรือเก่งเพียงใดก็ยากที่จะหาคนมายกย่องได้ และเพราะปากคนเรานี่ล่ะที่นอกจะทำให้ใครมาให้ดีให้โทษเราได้แล้ว ปากเราก็สามารถให้ดีให้โทษคนอื่นได้ด้วย การระวังคำพูดไว้ก่อนจึงเป็นสมบัติของผู้ดีที่ควรกระทำค่ะ 1. หัดพูดแต่เรื่องดี ๆ เรื่องไม่ดีอย่าพูด ถ้านึกถึงเรื่องอะไรดี ๆ ไม่ออก เงียบไว้ดีกว่า 2. อวยพรผู้อื่นบ่อย ๆ ไม่ว่าจะอ้างสิ่งศักดิ์ในศาสนาใดก็ตาม คุณยิ่งอวยพรคนอื่นอย่างจริงใจมากเท่าไร ตัวเราก็ยิ่งได้รับพรนั้นไปด้วย 3. คำหยาบคายไม่เคยน่าฟัง แม้แต่การพูดหยาบกับคนสนิทก็ตามเพราะอาจติดปากไปพูดหรืออุทานกับคนอื่น ๆ ได้ 4. อาราธนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาไว้กับตัวบ่อย ๆ หรือนึกถึงบ่อย ๆ จะได้ไม่พูดหยาบ เหมือนที่ชาวคริสต์เขาจะนึกถึงพระเจ้าบ่อย ๆ เวลาจะพูด ทำให้พูดหยาบน้อยลง 5. เรียกคนด้วยน้ำเสียงที่สุภาพและนุ่มนวล ใช้สรรพนามนำหน้าที่ไพเราะ…

  • ทำไม…ตากฝนแล้วเราจึงเป็นหวัด?

    ทำไม…ตากฝนแล้วเราจึงเป็นหวัด?

    ทำไม…ตากฝนแล้วเราจึงเป็นหวัด? หลายคนคงเคยสงสัยกันอยู่บ้างว่าทำไมแค่ตัวเราเปียกฝนแล้วจึงเป็นหวัดได้ ทั้งที่เราก็อาบน้ำสระผมตัวเปียกอยู่ทุกวัน แต่ไม่ยักกะเป็นอะไร วันนี้ค่ะ เราจะมาฟังคำอธิบายกันว่าทำไมการตากฝนแล้วจึงทำให้เราเป็นหวัดขึ้นมาได้ – เพราะโรคหวัดเกิดจากไวรัสที่ทำให้โพรงจมูกอักเสบติดเชื้อ และมีไวรัสเป็นจำนวนมากที่ทำให้เกิดเป็นไข้หวัดได้ ซึ่งไวรัสเหล่านี้จะฟุ้งกระจายอยู่ในอากาศแล้วก็ตกลงไปเกาะติดอยู่ตามพื้น หรือปะปนไปกับฝุ่น ความจริงไวรัสเหล่านี้มีชีวิตไม่นานนัก แต่ปกติเราก็สัมผัสกับไวรัสเหล่านี้อยู่บ้างแล้ว แต่เพราะในเวลาปกติที่ฝนไม่ได้ตก เรามีภูมิต้านทานร่างกายและสภาวะแวดล้อมที่จะไม่ทำให้ติดเชื้อ เราจึงไม่เป็นหวัด แต่เพราะในเวลาฝนตกมักจะมีลมแรง ลมเหล่านี้จะพัดเอาไวรัสฟุ้งกระกระจาย เราอยู่ในบริเวณนั้นก่อนที่ฝนจะตก จะทำให้มีโอกาสที่ไวรัสจะสัมผัสกับเรามากขึ้น ดังนั้นหากลมเริ่มแรงและฝนกำลังจะตก ให้หาที่หลบดีกว่าอย่าอยู่ที่โล่ง หรือหากเลี่ยงไม่ได้ให้ปิดปากปิดจมูกด้วยผ้าไว้ก่อนก็ได้ค่ะ – และหากเราตากฝนจนศีรษะเปียก การที่เราเป็นหวัดไม่ได้เกิดจากศีรษะเปียก (ไม่งั้นเราคงเป็นหวัดเวลาสระผมทุกครั้ง) แต่เป็นเพราะว่าเมื่อศีรษะเปียกฝนจะทำให้อุณหภูมิพื้นผิวของเยื่อบุจมูกลดลงประมาณ 1-2 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นอุณหภูมิที่พอดีสำหรับการแบ่งตัวของเชื้อไวรัสที่ตกค้างในช่องจมูก หากได้ยืนตากลมหรือรับเชื้อมาก่อนช่วงเวลาฝนตกก็จะยิ่งทำให้ภูมิต้านทานของร่างกายต้านทานเชื้อไม่ไหว เกิดสารคัดหลั่งออกมามากขึ้น (น้ำมูกนั่นล่ะค่ะ) และหากเชื้อไวรัสลุกลามลงคอก็จะทำให้คออักเสบได้ – นอกจากลม และศีรษะที่เปียกฝนแล้ว อุณหภูมิบริเวณมือเท้าก็มีผลด้วย การที่เท้าเราแช่น้ำ หรือต้องลุยน้ำเวลานาน ๆ ทำให้อุณหภูมิร่างกายลดลงจนกลายเป็นหวัดได้อีกด้วย ดังนั้นต่อไปนี้หากอยู่นอกบ้านแล้วพบว่าฝนตก ควรป้องกันตัวเองจากไวรัสและการติดเชื้อด้วยการ พยายามหาที่หลบฝนเสียก่อน แล้วรอจนฝนหยุดแล้วจึงเดินทางต่อ หรือหากเลี่ยงไม่ได้ควรกางร่มเพื่อบังศีรษะของเราไว้ นำผ้าเช็ดหน้าปิดจมูกปิดปากไว้ด้วยก็จะดีขึ้น เมื่อเข้าที่แห้งแล้วให้รีบเช็ดผมที่เปียกให้แห้ง หากกลับบ้านก็ควรสระผมแล้วเช็ดหรือเป่าให้แห้งโดยเร็วที่สุด หลังจากนั้นควรทำร่างกายให้อบอุ่น ด้วยการดื่มน้ำอุ่น ๆ ใส่เสื้อผ้าหนา…

  • เสริมสร้างไอคิว และพัฒนาการทางสมอง ให้ลูกด้วยนมแม่

    เสริมสร้างไอคิว และพัฒนาการทางสมอง ให้ลูกด้วยนมแม่

    เสริมสร้างไอคิว และพัฒนาการทางสมอง ให้ลูกด้วยนมแม่ สำหรับเด็กทารกแล้ว น้ำนมแม่คืออาหารที่ดีที่สุดของเขา เป็นอาหารจากอกแม่ที่ไหลออกจากอกสู่ปากสู่ ไม่เพียงทำให้ลูกอิ่มท้องเท่านั้น แต่ยังสร้างภูมิคุ้มกันและการเจริญเติบโตให้กับลูกได้อย่างเหมาะสม พัฒนาทั้งทางร่างกายและทางจิตใจลูกพร้อมทั้งแม่ได้อย่างยอดเยี่ยม สาเหตุที่จำเป็นต้องเลี้ยงลูกด้วยน้ำนมแม่ก็เป็นเพราะ ในน้ำนมแม่ทำให้ลูกฉลาดหรือมีไอคิวที่สูงขึ้นได้ แม้ว่าความฉลาดหรือไอคิวของเด็กจะขึ้นอยู่กับสิ่งสำคัญสามประการก็คือ การเลี้ยงดู กรรมพันธุ์จากพ่อแม่และอาหารที่เหมาะสมก็ตาม แต่นมแม่ก็ยังเป็นตัวช่วยสำคัญในการทำให้สมองลูกเจริญเติบโตได้อย่างดีและสมบูรณ์มากขึ้นด้วย เป็นเพราะว่า 1. ในน้ำนมแม่นั้นมีไขมันที่จำเพาะสำหรับสมองเด็กทารก โดยในระยะหกเดือนแรกนี้ร่างกายหนูน้อยยังย่อยไขมันไม่ได้เต็มที่ แต่ในนมแม่มีน้ำย่อยไขมันมาด้วย ดังนั้นไขมันจากนมแม่จึงถูกนำไปใช้สร้างสมองได้สมบูรณ์เต็มที่ต่างจากนมกระป๋องตามโฆษณา 2. สารอาหารหลายร้อยชนิดในนมแม่มีส่วนช่วยในการพัฒนาสมองและจอประสาทตา ดังนั้นเด็กที่กินนมแม่จึงมีสมองดี ดวงตามองเห็นได้ชัดเจน และทำให้พัฒนาการรวดเร็วขึ้น 3. เวลาให้นมลูกด้วยนมตนเอง แม่ต้องอุ้มลูกไว้ในอ้อมกอดวันละหลาย ๆ ครั้ง การอุ้มลูกจะช่วยกระตุ้นประสาทสัมผัสทำให้เซลล์สมองมีการเชื่อมโยงกันมากขึ้น ยิ่งเชื่อมโยงมากก็ยิ่งฉบาดมาก หากเชื่อมโยงน้อยสมองส่วนนั้นก็จะฝ่อตัวไปในที่สุด ความจำเป็นที่ต้องให้ทารกดื่มนมแม่เป็นเวลาหกเดือน จากที่เคยเข้าใจว่าให้นมแม่แค่สี่เดือน ก็เป็นเพราะว่า น้ำย่อยของเด็กจะสร้างครบและพร้อมจะย่อยอาหารทุกอย่างเมื่ออายุครบหกเดือนขึ้นไป ซึ่งในอดีตที่ให้เด็กหัดกินอาหารอื่นเมื่อครบสี่เดือน ก็เป็นการเผื่อให้ร่างกายได้สร้างน้ำย่อยให้ครบพอดี แต่จากข้อมูลสถิติแล้วพบว่า เด็กที่กินนมแม่ผสมกับข้าวเร็วกว่าหกเดือน จะเจ็บป่วยบ่อยเมื่อเทียบกับเด็กที่ดื่มนมแม่ล้วน ๆ ดังนั้นเราจึงควรให้ลูกดื่มแต่นมแม่อย่างเดียวตลอดหกเดือนแรก นอกจากนั้นแล้วการดื่มนมแม่อย่างเดียวตลอดหกเดือนยังช่วยลดโอกาสท้องเสีย เกิดโรคทางเดินหายใจหรือโรคภูมิแพ้ แล้วยังส่งผลดีต่อพัฒนาการทางสมองเด็กมากกว่า ดังนั้นคุณแม่ทั้งหลายของให้มั่นใจเถอะว่าการให้ลูกกินนมแม่อย่างเดียวลูกไม่ขาดน้ำหรือสารอาหารแน่นอน และในระยะหกเดือนแรกสมองลูกจะเติบโตเร็วมากการดื่มนมแม่จึงเหมาะที่สุด หากให้ทานอาหารชนิดอื่น ระบบทางเดือนอาหารลูกยังไม่สามารถย่อยได้เต็มที่ อาจทำให้ลูกเจ็บป่วยบ่อยเพราะอาหารอื่นลงไปแย่งพื้นที่นมแม่ที่มีสารอาหารเต็มเปี่ยมด้วย อีกทั้งยังอาจทำให้ลูกได้รับเชื้อโรคที่ปะปนมากับอาหารชนิดอื่นหรือแพ้โปรตีนจากนมอื่น ๆ…