Author: pure
-
อย่างไรวัยเกษียณ ก็ยังต้องออกกำลังกายอยู่ดี
อย่างไรวัยเกษียณ ก็ยังต้องออกกำลังกายอยู่ดี แม้อายุจะล่วงเข้าสู่วัยเกษียณแล้วแต่การออกกำลังกายก็ยังจำเป็นอยู่ดี เพียงแต่ต้องเป็นการออกกำลังกายที่ไม่ออกแรงมากนัก หรือเคลื่อนไหวเร็วเกินไป ซึ่งการออกกำลังกายที่เหมาะสมสำหรับช่วงวัยนี้ควรออกกำลังกายเป็นส่วน ๆ ไป โดยให้ทำช้า ๆ ให้มีแรงต้านหรือแรงกระแทกน้อยๆ เพื่อเสริมสร้างการทำงานของร่างกายค่ะ โดยคุณสามารถออกกำลังกายตามแผนต่อไปนี้ได้เลย – เคลื่อนไหวข้อต่อชุดต่าง ๆ ให้สุดพิสัยของการเคลื่อนไหว เช่น บริหารข้อไหล่ โดยการยกแขนขึ้นเหนือศีรษะ แล้วปล่อยลงทำแบบนี้ 5-10 ครั้ง รวมไปถึงข้อต่ออื่น ๆ ด้วย – เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ เช่น กล้ามเนื้อขา กล้ามเนื้อหลัง สะโพก เช่น ยกน้ำหนักเบา ๆ ที่ไม่หนักมากนัก ดันกำแพง หรือแม้แต่การยกขายกแขนตัวเอง ก็ช่วยเพิ่มกล้ามเนื้อได้แล้ว – ออกกำลังกายเพิ่มการทรงตัวและความยืดหยุ่น เพื่อการเป็นการยืดกล้ามเนื้อสลับกับการถ่ายเทน้ำหนักไปมาเพื่อการทรงตัว จะได้ไม่หกล้มหรือปวดกล้ามเนื้อง่าย ๆ ได้แก่ การรำมวยจีน โยคะ โดยเล่นในท่าที่ง่าย ๆ – เพิ่มการทำงานของปอดและหัวใจด้วยการเต้นแอโรบิคเบา ๆ เดินเร็วบ้าง โดยใช้เวลาวันละ 15…
-
ในฤดูหนาว ผู้สูงวัยควรระวังสุขภาพให้มาก
ในฤดูหนาว ผู้สูงวัยควรระวังสุขภาพให้มาก แม้จะเป็นผู้สูงอายุที่มีสุขภาพดี แต่ในช่วงหน้าหนาวที่อากาศเปลี่ยนแปลงก็ไม่ควรประมาท แต่ควรรักษาร่างกายให้อบอุ่นไว้ตลอดเวลายิ่งหากไปท่องเที่ยวในที่เย็น ๆ ด้วยแล้ว ควรเตรียมอุปกรณ์กันหนาวให้ครอบครัน และปรึกษาแพทย์ก่อนไปด้วยนะคะ ระหว่างฤดูหนาวนี้ควรดื่มน้ำให้ได้วันละสองลิตรเพื่อป้องกันผิวแห้ง และนอนหลับให้เพียงพอ ทานอาหารร้อน ๆ รักษาความอบอุ่นของร่างกายไว้ด้วย โรคภัยและความเจ็บป่วยที่ผู้สูงวันต้องระวังเป็นพิเศษได้แก่ 1. โรคไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ โรคติดต่อทางเดินหายใจทั้งหลาย ที่อาจลุกลามไปสู่อาการปอดอักเสบ หรือหลอดลมอักเสบได้ จึงไม่ควรอยู่ในสถานที่ที่มีคนพลุกพล่านและอับชื้น ล้างมือบ่อย ๆ เพื่อลดการรับเชื้อ ควรงดสูบบุหรี่ไปเลยเพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อทางเดินหายใจได้ ไม่ควรคลุกคลีกับเด็กหรือผู้ป่วยคนอื่น ๆ ยิ่งหากเป็นผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว ควรฉีดวัคซีนป้องกันไว้ก่อนจะดีกว่าค่ะ 2. เนื่องจากผู้สูงวัยจะมีไขมันใต้ผิวหนังน้อย ผิวจึงแป้ง เป็นผื่นอักเสบและลอกคันได้ง่าย ยิ่งเป็นฤดูหนาวที่อากาศแห้ง ผิวจะยิ่งสูญเสียความชุ่มชื้นได้ง่าย ไม่ควรอาบน้ำอุ่นจัดเพราะจะยิ่งชะล้างไขมันออกไปมากขึ้น ควรรักษาความอบอุ่นร่างกายไว้ สวมเสื้อผ้าหนา ๆ ไม่ควรอาบน้ำนานเกินไป ทาผิวด้วยโลชั่นหรือน้ำมันบำรุงผิวหลังอาบน้ำทุกครั้ง เพื่อรักษาความชุ่มชื้น และควรเลือกผลิตภัณฑ์ทาผิวที่มีความอ่อนโยนด้วย ควรทาบ่อย ๆ หากรู้สึกว่าผิวแห้ง เพื่อป้องกันผิวหนัง และทาลิปมันบำรุงผิวริมฝีปากไว้ด้วย ทาบ่อยได้ตามต้องการค่ะ 3. ในช่วงหน้าหนาว หากผู้สูงวัยไม่ค่อยออกกำลังกาย การกินอาหารที่ไขมันสูงเข้าไป หัวใจจะทำงานหนักมากยิ่งขึ้นในช่วงฤดูหนาว…
-
สัญญาณอันตรายที่บอกว่าคุณอาจเป็นโรคมะเร็ง
สัญญาณอันตรายที่บอกว่าคุณอาจเป็นโรคมะเร็ง นับตั้งแต่ปี 2000 เป็นคนมา สถิติคนไทยเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งเป็นอันดับที่หนึ่ง แล้วก็ยังมีจำนวนเพิ่มขึ้นมากทุกปีด้วย แม้บางคนจะเชื่อว่าโรคนี้เป็นโรคกรรมเวรอะไรก็ไม่รู้ได้ แต่ความจริงแล้วโรคนี้มีบ่อเกิดมาจากการพฤติกรรมของตนเองทั้งสิ้น หากไม่อยากเป็นมะเร็งแล้ว กระทรวงสาธารณสุขได้แนะนำให้ปฏิบัติตัวดังนี้คือ หมั่นออกกำลังหายเป็นประจำ ทำจิตใจให้สบาย สดใสเสมอ ทานผักและผลไม้สดให้มาก รับประทานอาหารให้มีความหลากหลาย และพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกายทุกปี นอกจากนี้ยังควรงดเว้นพฤติกรรมที่อาจทำให้เป็นบ่อเกิดของมะเร็งด้วย ได้แก่การงดเว้นการสูบบุหรี่ ดื่มสุรา มั่วเซ็กซ์ ไม่ออกแดดจัด และไม่กินปลาน้ำจืด หอย หรือสัตว์น้ำจืดดิบ ๆ ด้วย ควรสังเกตความผิดปกติของร่างกายตัวเองไว้ หากมีสัญญาเตือนอย่างใดอย่างหนึ่งในเจ็ดข้อนี้แล้วควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจให้ละเอียด หากพบว่าเป็นมะเร็งจะสามารถตรวจรักษาหายได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ 1. มีการขับถ่ายที่ผิดปกติหรือเปลี่ยนแปรไปจากเดิม 2. เป็นแผลไม่ยอมหาย 3. ร่างกายมีตุ่ม มีก้อน ขึ้นมา 4. กลืนอาหารไม่ได้หรือกลืนได้ลำบาก 5. ตามทวารต่างๆ มีเลือดไหลออกมา 6. ไฝหรือหูดที่มีอยู่เดิม มีลักษณะเปลี่ยนไป 7. เสียงแหบเรื้อรัง ไอไม่ยอมหาย คนเราทุกคนนั้นมีเซลล์มะเร็งอยู่ในร่างกายอยู่แล้ว ขึ้นอยู่กับว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นมาได้เมื่อไร หากเมื่อใดที่ร่างกายแข็งแรงพอ เซลล์มะเร็งก็จะถูกทำลายไปเอง การเป็นมะเร็งนั้นจึงเป็นสัญญาณเตือนบอกว่าคน ๆ…
-
“ขิง” สมุนไพรสร้างความอบอุ่นในฤดูหนาว
“ขิง” สมุนไพรสร้างความอบอุ่นในฤดูหนาว ในช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลงจากฤดูฝนเข้าสู่ฤดูหนาวนั้น จะเป็นช่วงที่ร่างกายอ่อนแอลงมากกว่าเดิม ทำให้เป็นหวัดได้ง่าย ระบบย่อยอาหารก็ไม่ดี ท้องเฟ้อ ท้องอืดได้ ดังนั้นอาหารที่เหมาะสำหรับฤดูหนาวก็ต้องเป็นอาหารธาตุร้อน มีรสชาติเผ็ดร้อนที่ให้ความอบอุ่นกับร่างกายคุณได้ ป้องกันไข้หวัดและความเจ็บป่วยนานาชนิดด้วยค่ะ ซึ่งสมุนไพรที่ให้ความอบอุ่นกับร่างกายเราและหาได้ง่ายในเมืองไทยก็คือ “ขิง” นั่นเอง ขิงเป็นสมุนไพรที่ถูกใช้กันมาเป็นเวลาหลายพันปีแล้วในทวีปเอเชียนี้ นอกจากใช้ทำอาหารได้แล้วก็ยังนำเอามาสกัดเพื่อรักษาความเจ็บป่วยด้วย ในขิงมีสารออกฤทธิ์ที่สำคัญก็คือ จิงเจอรอล และ โชกอร สองตัวนี้ช่วยรักษาอาหารท้องอืดท้องเฟ้อ หรือปวดมวนท้องด้วย หากคุณแม่ที่กำลังให้นมบุตรอยู่ สารออกฤทธิ์จากขิงจะส่งผ่านไปทางน้ำนม ทำให้ลูกน้อยไม่มีอาการท้องอืดได้ ผู้ที่มักมีอาการท้องเสีย ให้ทานอาหารที่ย่อยง่าย ลดอาการแข็งลง ๆ แล้วดื่มน้ำขิงช่วย จะลดการอักเสบที่เกิดจากพิษของเชื้อโรคในอาหาร ช่วยขับพิษออกจากร่างกาย ในส่วนผู้ที่เป็นไข้หวัด ไอ เจ็บคอ ปวดหัว การทานขิงสดช่วยได้มากเลย สำหรับคนที่มักจะเมารถ เมาเรือ คลื่นไส้ อาเจียนในเวลาที่อาหารเป็นพิษ ให้หยุดทานอาหารให้หมดแล้วพยายามขับของเสียออก แล้วตามด้วยน้ำขิงลงไป จะลดอาการคลื่นไส้ได้ดีมากเช่นกัน หากคุณอยู่นอกบ้าน หรือระหว่างเดินทาง หากมีอาการเมารถ เมาเรือ คุณควรหาน้ำขิงดื่ม หรือจะซื้อจิงเจอร์เอล มาดื่มก็บรรเทาได้เช่นกัน ในช่วงฤดูหนาวควรทานอาหารที่ปรุงด้วยขิงเปลี่ยนไปเมนูไปเรื่อย ๆ จะได้ไม่เบื่อ เช่น…
-
ธัญพืช อาหารที่ช่วยป้องกันโรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดสมองและหัวใจได้
ธัญพืช อาหารที่ช่วยป้องกันโรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดสมองและหัวใจได้ มีการศึกษาวิจัยในประเทศสหรัฐอเมริกาพบว่า การทานธัญพืชไม่ขัดสีเป็นจำนวนมากจะช่วยส่งเสริมให้หลอดเลือดมีสุขภาพดีป้องกันความเสี่ยง ในการเป็นโรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดสมอง โรคหลอดเลือดหัวใจได้ด้วย ซึ่งการวิจัยหนนี้เป็นของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัย เวคฟอคเรสต์ โดยการสำรวจจากอาสาสมัครชายหญิงหลายวัยและอาชีพ พบว่า ผู้ที่ทานธัญพืชไม่ขัดสีมากที่สุด จะมีผนังหลอดเลือดบางที่สุด และเมื่อเวลาผ่านไปห้าปี ผนังหลอดเลือดสมองจะมีความหนาขึ้นช้าที่สุด อนึ่ง ผนังหลอดเลือดที่หนาตัวขึ้นเป็นตัวบ่งชี้ถึงภาวะหลอดเลือดแข็ง อันเกิดจากไขมันสะสม ทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย และโรคหลอดเลือดสมองอื่น ๆ ได้ ซึ่งก่อนหน้านี้เคยมีผู้วินัยไว้แล้วว่าการทานธัญพืชไม่ขัดสีเป็นจำนวน จะช่วยลดความเสี่ยงเป็นเบาหวานชนิดที่สองและโรคหัวใจได้ด้วย ธัญพืชไม่ขัดสีนี้เป็นอาหารที่มีคุณค่าทางอาหารสูงและมีความซับซ้อน มีเส้นใยอาหารสูงมาก และยังมีวิตามินบี วิตามินบี และสารอาหารอีกมากมาย ปัจจุบันยังมีชาวอเมริกันไม่ถึงร้อยละ 10 ที่ทานธัญพืชไม่ขัดสีวันละสามมื้อ ส่วนมากทานวันละไม่ถึงมื้อ ซึ่งนักวิจัยได้แนะนำให้เพิ่มขนมปังแป้งไม่ขัดขาวหนึ่งแผ่น หรือซีเรียลไม่ขัดสีอีกหนึ่งถ้วย ในอาหารแต่ละมื้อเพื่อเพิ่มคุณค่าทางอาหาร และลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดสมองและโรคเบาหวานด้วย คนไทยเองก็ควรหันมารับประทานธัญพืชไม่ขัดสีเหล่านี้ให้มากขึ้นนะคะ ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคดังกล่าว ยังทำให้ร่างกายแข็งแรง ไม่อ้วน อิ่มอยู่ท้องได้นาน ทำให้ระบบขับถ่ายเป็นไปด้วยดี อีกทั้งธัญพืชเหล่านี้ยังมีราคาที่ไม่แพงเมื่อเทียบกับอาหารอื่น ๆ อีกด้วยค่ะ
-
สร้างความมั่นใจให้กับลูกน้อยของคุณกัน
สร้างความมั่นใจให้กับลูกน้อยของคุณกัน สิ่งที่ขัดขวางพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กมากที่สุดก็คือความกลัวนั่นเอง ลองนึกถึงเวลาคุณหัดให้ลูกขี่จักรยาน หรือหัดว่ายน้ำดูสิ แม้คุณจะมองไม่เห็นสีหน้าของลูกแต่แน่นอนว่าคุณรู้สึกถึงความกลัว ความไม่มั่นใจของลูกได้ แต่การฝึกทักษะใหม่ ๆ และเลี้ยงเขาให้เติบโตขึ้นไปใช้ชีวิตในอนาคตได้ก็ยังเป็นสิ่งที่จำเป็นอยู่ดี แล้วเราจะเลี้ยงลูกอย่างไรให้มีความมั่นใจในตัวเองกัน ลองดูวิธีห้าข้อต่อไปนี้นะคะ 1. ลองให้ลูกได้มีส่วนในการตัดสินใจในกิจวัตรประจำวันของตัวเอง เช่น การทานอาหาร การเข้านอน การแต่งตัว อาจเริ่มจากให้ลูกเลือกสีสันของเสื้อผ้าที่จะสวมเองได้ เป็นต้น 2. มอบหมายหน้าที่ต่าง ๆ ให้เด็กได้รับผิดชอบ เด็กจะภูมิใจที่สามารถช่วยเหลือแบ่งเบา และเรียนรู้สิ่งใหม่ได้ เช่น การมอบหมายให้เด็กช่วยงานบ้าน ให้ช่วยรดน้ำต้นไม้ และกล่าวชมเชยเมื่อต้นไม้งอกงาม ออกดอกออกผลให้เห็น เป็นต้น 3. ให้เด็กได้มีส่วนในการสร้างขอบเขตการเรียนรู้ที่ชัดเจน จะทำให้เขามีความรับผิดชอบและเป็นนักคิดที่มีอิสระ สามารถตัดสินใจเลือกทางต่าง ๆ ของตัวเองได้ เช่น ให้เขากำหนดเองว่าแต่ละวันจะอ่านหนังสือกี่เล่ม อ่านกี่โมง อ่านกี่หน้าเป็นต้น 4. ปล่อยให้เด็กได้มีเวลาส่วนตัวในการทำสิ่งที่อยากทไ เช่น ปล่อยให้เขาได้เล่นฟุตบอล ได้มีโอกาสขีด ๆ เขียน ๆ สิ่งต่าง ๆ ได้เล่นกับเพื่อน ๆ หรือพี่น้อง เขาจะมีโอกาสในการปลดปล่อยความคิดสร้างสรร…
-
สาว ๆ อย่าเพิ่งตกใจ หากเป็นเริมที่อวัยวะเพศ
สาว ๆ อย่าเพิ่งตกใจ หากเป็นเริมที่อวัยวะเพศ โรคเริม คือ โรคผิวหนังที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส แล้วทำให้ผิวหนังมีอาการบวมเป็นตุ่มน้ำและอักเสบ หลังจากนั้นเชื้อจะไปแอบอยู่ตามปมประสาท เมื่อใดที่ภูมิคุ้มกันของร่างกายต่ำลง หรือถูกกระตุ้นจากปัจจัยภายนอก ไม่ว่าจะเป็น ความเครียด แสงแดด หรือรอบเดือนก็อาจจะกลับมาเป็นซ้ำได้อีก คนเรากว่าร้อยละ 80-90 ต่างก็เคยได้รับเชื้อเริมเข้าสู่ร่างกายกันทั้งนั้น แต่อาจไม่ได้แสดงอาการของโรคในทันทีเพราะยังมีภูมิคุ้มกันแข็งแรงอยู่ แล้วโรคเริมนี่ก็สามารถเกิดได้ทั่วร่างกายด้วย จะมีอาการเจ็บ ๆ ตึง ๆ คัน ๆ ก่อน ต่อมาภายในหนึ่งวันจะมีตุ่มน้ำพองใส ๆ ขึ้น แล้วแตกออกเป็นแผลตื้น ๆ ตกสะเก็ดแล้วก็หายไป พบบ่อยบริเวณริมฝีปาก และอวัยวะเพศ จัดได้ว่าเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดหนึ่ง โรคนี้สามารถเป็นที่ส่วนใดของร่างกายก็ได้ทั้งสิ้น และมักเป็นซ้ำที่เดินด้วย เป็นเชื้อที่ไม่สามารถขับออกไปจากร่างกายได้ เชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคนี้ได้นั้น มีอยู่ด้วยกันสองชนิดก็คือ – Herpes simplex Virus 1 มักเกิดอาการบริเวณปากและผิวหนังเหนือสะดือขึ้นไป ไม่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ แต่ติดต่อกันได้ทางน้ำลายผ่านการจูบ การดื่มน้ำแก้วเดียวกัน ใช้ลิปสติกแท่งเดียวกัน หรือกินข้าวไม่ใช้ช้อนกลางก็ติดต่อได้ – Herpes simplex…
-
อยากสุขภาพดี.. ต้องทำเอาเองตั้งแต่วันนี้
อยากสุขภาพดี.. ต้องทำเอาเองตั้งแต่วันนี้ การมีสุขภาพที่ดีนั้นความจริงเป็นเรื่องที่ไม่ต้องพึ่งพาเงินทองเลยนะคะ เป็นเรื่องที่ควรปฏิบัติให้เป็นกิจวัตรเสียด้วยซ้ำไป ซึ่งกิจกรรมที่ส่งเสริมสุขภาพให้ดีได้ก็คือ “การออกกำลังกาย” นั่นเองค่ะ การออกกำลังกายนี้ทำให้ร่างกายแข็งแรง ไม่เหนื่อยอ่อนง่าย ดูอ่อนเยาว์กว่าเดิม ทำให้ระบบอวัยวะต่าง ๆ ทำงานได้ดี ช่วยย่อยอาหาร ช่วยระบบขับถ่าย ทำให้การไหลเวียนของเลือดและกล้ามเนื้อหัวใจทำงานได้ดี ช่วยเสริมสมรรถภาพทางเพศ ลดความเครียดทำให้นอนหลับได้ดีขึ้น บรรเทาอาการซึมเศร้าได้ เยือกเย็นมั่นคงมากขึ้น มีความเชื่อมั่นใจตนเอง และกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ได้อีกทางหนึ่ง ซึ่งการออกกำลังกายที่ประหยัดที่สุดก็คือการวิ่ง (หรือการเดิน) เพราะทำให้ร่างกายได้แข็งแรงแทบทุกส่วน สิ้นเปลืองเงินทองน้อยที่สุด แล้วยังทำให้ปอดได้รับอากาศบริสุทธิด้วย สำหรับผู้ที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายหรือไม่เคยออกกำลังกายมาก่อน ควรเตรียมร่างกายให้พร้อมก่อนดังต่อไปนี้ – วางแผนการวิ่งหรือการเดินก่อน ว่าวันนี้จะวิ่งกี่นาที ระยะทางกี่กิโลเมตร – เตรียมเสื้อผ้าที่สวมใส่สบาย ระบายเหงื่อและความร้อนได้ดี และรองเท้าที่สามารถรับแรงกระแทกได้ – ก่อนการลงสนามควรวอร์มอัพก่อนสักห้านาที เพื่อกระตุ้นกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น ข้อต่อต่าง ๆ ให้พร้อมกับการเคลื่อนไหว – ท่าวิ่งที่ถูกต้องคือต้องตั้งลำตัวให้ตรง หลังไม่งอ ไม่เกร็ง เป็นธรรมชาติ วิ่งน้ำหนักลงที่ส้นเท้าก่อนแล้วถ่ายไปที่ ปลายเท้าอย่างนุ่มนวล ถ้าวิ่งจิกปลายเท้าจะเจ็บหน้าแข้งและหัวเข่า กำมือไว้หลวม ๆ แกว่งแขนช้าเร็วให้สมดุลกับจังหวะเท้า…
-
“ขมิ้นชัน” สมุนไพรป้องกันมะเร็ง
“ขมิ้นชัน” สมุนไพรป้องกันมะเร็ง ในขณะที่ความสะดวกสบายทันสมัยของโลกกำลังก้าวหน้าขึ้นไปเรื่อย ๆ โรคร้ายแรงอย่างโรคมะเร็งกลับกลายเป็นภัยคุกคามมนุษยชาติ มากยิ่งกว่าในยุคไหน ๆ แต่อย่างไรก็ดี ยังโชคดีที่คนไทยเรายังมีสมุนไพรอยู่ชนิดหนึ่ง ที่หาทานได้ง่าย และเป็นสมุนไพรพื้นบ้านที่ใช้กันมาช้านานที่อาจจะเป็นความหวังใหม่ในการรักษาโรคมะเร็ง สมุนไพรชนิดนั้นก็คือ “ขมิ้นชัน” นั่นเองค่ะ ขมิ้นชันมีสารที่ช่วยยับยั้งการสร้างหลอดเลือดใหม่ที่ไปหล่อเลี้ยงเซลล์มะเร็ง ช่วยยับยั้งการแบ่งตัว และทำให้กลไกที่ทำให้เซลล์ตายเป็นปกติ จึงช่วยหยุดยั้งการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งได้ นอกจากนี้ยังช่วยสร้างภูมิต้านทานให้กับผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับการรักษาด้วยคีโม ทำให้การฉายรังสีมีประสิทธิภาพดีขึ้น โดยขมิ้นชันช่วยให้เซลล์มะเร็งไวต่อการฉายรังสี และช่วยป้องกันเซลล์ปกติมิให้ถูกรังสีทำลายได้ในเวลาเดียวกัน อีกทั้งการกินขมิ้นชันยังไม่มีผลข้างเคียง ไม่มีความเป็นพิษต่อร่างกายอีกด้วย แต่ขมิ้นชันเองก็ต้องมีข้อควรระวังในการใช้งานเช่นกัน 1. ผู้ป่วยที่มีอาการท่อน้ำดีอุดตันไม่ควรกินขมิ้นชัน เพราะอาจทำให้น้ำดีหลั่งออกมาแล้วตกตะกอนในถุงน้ำดี ยิ่งทำให้อุดตันมากขึ้นและปวดขึ้นด้วย แต่หากเป็นคนปกติทานจะกระตุ้นการหลั่งน้ำดีป้องกันการเกิดนิ่วในถุงน้ำดีได้ 2. ผู้ป่วยที่ได้รับยาต้านการแข็งตัวของเลือดเช่น ยาวาร์ฟาริน จะเสริมฤทธิ์กันทำให้เลือดออกมากกว่าเดิม จึงไม่ควรทานขมิ้นชัน อย่างไรก็ดี ขมิ้นชันก็ไม่ใช่ยารักษาโรคมะเร็ง ไม่พบความเป็นพิษและสามารถปลูกได้ทั่วประเทศ แม้จะทานเข้าไปก็ไม่ก่อให้เกิดผลเสีย หากคนไทยหันมากินขมิ้นชันมากขึ้นก็จะช่วยต้านทานการก่อกำเนิดของเซลล์มะเร็งได้ จึงน่าจะเป็นประโยชน์ต่อร่างกายในระยะยาว
-
รู้กันหรือเปล่า 19 พฤศจิกายนของทุกปี เป็น “วันส้วมโลก”
รู้กันหรือเปล่า 19 พฤศจิกายนของทุกปี เป็น “วันส้วมโลก” ไม่ได้พูดกันเล่น ๆ นะคะ วันที่ 19 พฤศจิกายนของทุกปี เป็นวันส้วมโลกจริง ๆ ซึ่งวันนี้ถูกกำหนดโดยองค์การส้วมโลก เพื่อมีวัตถุประสงค์ให้ทั่วทั้งโลกได้มีส้วมที่มีสุขอนามัยที่ดี ตระหนักถึงความสำคัญและความสะอาดของห้องน้ำให้มากขึ้น ช่วยกระตุ้นจิตสำนึกให้ผู้คนที่ยังอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไร้อนามัยที่ดี ได้พยายามปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตให้มีสุขอนามัยในการขับถ่ายที่ดีขึ้นด้วย เพราะห้องน้ำไม่ใช่เพียงสถานที่สำหรับการทำความสะอาดร่างกาย อาบน้ำ แปรงฟันหรือขับถ่ายเท่านั้น แต่ยังเป็นที่อยู่ของเชื้อโรคมากมาย หากเราทำความสะอาดไม่พอ ดังนั้นห้องน้ำจึงเป็นอีกจุดหนึ่งที่ควรมีการชำระล้างให้สะอาดทั้งพื้น เครื่องสุขภัณฑ์และอุปกรณ์ใช้สอยในห้องน้ำ ให้มีความสะอาดและอยู่ในสภาพที่ส่งเสริมอนามัยของสมาชิกทุกคนที่ใช้งานด้วย นอกจากนี้หลังจากออกจากห้องน้ำแล้วก็ควรล้างมือให้สะอาดทุกครั้ง เพราะเชื้อโรคที่เราไปสัมผัสเข้าโดยไม่รู้ตัวเหล่านี้อาจก่อให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บได้มากมาย ซึ่งเชื้อโรคเหล่านี้ก็จะติดอยู่ตามอุปกรณ์และพื้นผิวต่าง ๆ ในห้องน้ำนั่นแหล่ะ เป็นสิ่งที่ตาเรามองไม่เห็น จึงควรล้างมือด้วยสบู่และน้ำสะอาดทุกครั้งหลังออกจากห้องน้ำนั่นเอง และอีกเหตุผลที่ต้องมี “วันส้วมโลก” นี้ก็เพราะยังมีเด็ก ๆ ในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาอีกจำนวนมากที่ต้องเจ็บป่วยและเสียชีวิตจากการขาดสุขอนามัยที่ดี วันนี้จึงเป็นอีกวันที่จะช่วยปลุกจิตสำนึกของผู้ที่เกี่ยวข้องและมีความรับผิดชอบในสุขอนามัยของแต่ละประเทศ ได้หันมาช่วยกันรณรงค์ในด้านการรักษาความสะอาดและส่งเสริมให้ประชากรทุกคนได้มีห้องน้ำที่สะอาดถูกสุขอนามัยไว้ใช้ เพื่อป้องกันความเจ็บป่วยที่อาจเกิดจากเชื้อโรคต่าง ๆ นั่นเอง