Author: pure
-
ข้าวก็ทานน้อย ดื่มแต่น้ำแล้วทำไมยังอ้วนได้ล่ะ?
ข้าวก็ทานน้อย ดื่มแต่น้ำแล้วทำไมยังอ้วนได้ล่ะ? มีเรื่องเล่าให้คุณผู้อ่านฟังค่ะ เรื่องมีอยู่ว่ามีพนักงานสาวในโรงงานคนหนึ่ง ชื่อบังอร คุณบังอรน้ำหนักประมาณ 70 กิโลกรัม ได้ชวนเพื่อนอีกสองคนเข้าค่ายลดน้ำหนักกับโรงพยาบาล เพื่อนทั้งสองคนนี้ก็น้ำหนักสูสีกับบังอรนะคะ คือราว 70 กิโลกรัม เมื่อถึงเวลาเข้าค่ายจริง บังอรเองกลับไม่ได้มาเข้าเพราะติดธุระพอดี เพื่อนสองคนจึงเข้าอบรมในเรื่องของการลดน้ำหนักเอง เมื่อทั้งสองเข้ามาเรียนรู้ในค่าย จึงได้ทราบสาเหตุที่ตนเองอ้วนนั้นเป็นเพราะว่า ชอบกินจุบจิบและดื่มชาเย็น วันละสองถุงทุกวัน แล้วยังทานอาหารจานด่วนพวกที่ทอดน้ำมันลึกทั้งหลาย ไม่ค่อยกินผักและกินมื้อดึกประจำ กับทั้งไม่ออกกำลังกายเลยด้วย วิทยากรจึงได้แนะนำให้ทั้งคู่ได้รู้จักกับการปรับพฤติกรรมการกินของตน ด้วยการลดการดื่มชาเย็น ทานอาหารที่มีน้ำมัน้อย ทานพวกแกงจืดแทน แล้วให้ทานอาหารเย็นก่อนหกโมงเย็น ออกกำลังกายทุกวันด้วยการเดินเร็ววันละครึ่งชั่วโมง ซึ่งพอสองคนนี้ทำตามก็สามารถลดน้ำหนักได้ 1 กิโลกรัมในสัปดาห์แรก จนสุดท้ายในหนึ่งเดือนนั้น เพื่อนของคุณบังอรก็สามารถลดน้ำหนักเกือบ 3 กิโลกรัมในหนึ่งเดือนเลยทีเดียว รวมไปถึงเมื่อครบระยะสามเดือน เพื่อนทั้งสองของบังอรสามารถลดน้ำหนักได้ 5.2 กิโลกรัมและ 7 กิโลกรัมตามลำดับ แต่ตัวบังอรที่ไม่เข้าค่าย ก็รีบเร่งลดน้ำหนักตามเพื่อน และด้วยความเชื่อว่าการทานข้าวแล้วจะทำให้อ้วน เธอจึงไม่ยอมกินข้าวเช้าเพื่อจะได้ลดน้ำหนักได้เร็ว ซึ่งแรก ๆ ก็ดูเหมือนจะลดได้ แต่บางวันมีทานกาแฟ ขนมบ้างนิดหน่อย เมื่อทำหลายวันร่างกายก็อ่อนเพลีย เมื่อหิวจนทนไม่ได้ก็ไปหาชาเย็น กาแฟเย็นกินตอนสาย รวมไปถึงขนมต่าง…
-
ระวังเชื้อสายพันธุ์ใหม่ “สเตรปโตคอกคัส อีไคว”
ระวังเชื้อสายพันธุ์ใหม่ “สเตรปโตคอกคัส อีไคว” เชื้อแบคทีเรียชื่อแปลก ๆ นี้เป็นเชื้อโรคชนิดใหม่ค่ะ ชื่อว่า เชื้อสเตรปโตคอกคัส อีไคว เป็นเชื้อในกลุ่มสเตรปโตคอกคัส กลุ่มซี สามารถเกิดโรคได้ทั้งในคนและในสัตว์ และเป็นโรคที่ติดต่อจากสัตว์สู่คนเท่านั้น ยังไม่มีปรากฏการติดจากคนสู่คนแต่อย่างใด ซึ่งการตรวจพบครั้งแรกนั้นพบที่จังหวัดลำปาง เชื้อนี้สามารถติดต่อสู่คนได้สองทางก็คือ จากการกินเนื้อสัตว์ที่ติดเชื้อนี้อยู่ และการสัมผัสกับชั้อที่ปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อมเข้าสู่เนื้อเยื่ออ่อนเช่น ตา ปาก จมูก หรือจากรอยถลอก บาดแผล เมื่อได้รับเชื้อแล้วจะทำให้เกิดอาการ เช่น คออักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ ข้ออักเสบ หรือเกิดภาวะอักเสบแทรกซ้อนเป็นไตอักเสบได้ดวย ผู้ที่มีอาการติดเชื้อรุนแรงมาก อาจถึงกับเสียชีวิตได้เลยทีเดียว เชื้อนี้นั้นเชื่อว่าได้กระจายตัวอยู่ทั่วไปในจังหวัดลำปาง และอาจมีผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตจากโรคนี้เกิดขึ้นได้อีก เพื่อเป็นการป้องกันระวังไว้ก่อน ผู้ที่จะเดินทางผ่านจังหวัดลำปางควรปฏิบัติตัวดังนี้ค่ะ – ทานแต่อาหารที่ปรุงจากเนื้อที่ปรุงสุกด้วยความร้อนเท่านั้น หลีกเลี่ยงอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ เช่น แหนม ลาบ ลู่ ต่าง ๆ ฯลฯ รวมไปถึงอาหารที่มีเนื้อสัตว์เป็นส่วนประกอบ จำพวก หมูจุ่ม หมูกระทะ หมูย่างเกาหลี ต้องย่างจนแน่ใจว่าสุกจริง…
-
เลี้ยงเด็กอย่างไร ไม่อ้วนตั้งแต่เล็ก
เลี้ยงเด็กอย่างไร ไม่อ้วนตั้งแต่เล็ก เด็กไทยในปัจจุบันนี้มีน้ำหนักตัวอยู่ในเกณฑ์อ้วนลงพุงกันมากขึ้น ยิ่งโดยเฉพาะเด็กชายจะอ้วนมากกว่าเด็กหญิงถึงสองเท่า เด็กในเมืองใหญ่ที่มักทานอาหารที่มีไขมันสูงก็มักจะอ้วนกว่าเด็กที่อยู่ตามชนบทด้วย โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ นี่เอง อีกทั้งเมื่อเด็กอ้วนมากแล้วโตมาก็ยังคงเป็นผู้ใหญ่อ้วนอยู่ดี และเด็กทีมักมีกิจกรรมชอบนั่งเฉย ๆ เช่น เล่มเกมส์คอมพิวเตอร์หรือดูทีวีทั้งวันจะกินขนม ของกินเล่นต่าง ๆ มากกว่าเด็กที่ได้มีการเคลื่อนไหวร่างกาย ที่กินน้อยกว่า การเคี่ยวเข็ญให้ลูกลดน้ำหนักนั้นเป็นเรื่องที่ยากแน่นอน ดังนั้นผู้ปกครอง คุณพ่อคุณแม่ทั้งหลายคนมีเทคนิคล่อหลอก เพื่อเปลี่ยนนิสัยการกิน และพากันออกกำลังกายให้มากขึ้นตั้งแต่วัยเด็กเพื่อป้องกันเด็กอ้วนและโตมาเป็นผู้ใหญ่อ้วน ที่จะมีปัญหาสุขภาพตามมาอีกมากมาย ด้วยการดูแลเด็กดังต่อไปนี้ค่ะ 1. ให้เด็กทานอาหารเป็นมื้อ แบ่ง 3 มื้อให้ชัดเจน โดยให้มีสารอาหารที่ครบถ้วนทั้งห้าหมู่ มีผักมีผลไม้ด้วย และช่วยให้ไม่กินขนมจุบจิบหรือกินไม่เป็นเวล่ำเวลา 2. ปรับเปลี่ยนเมนูให้หลากหลาย และน่ากิน แต่ยังคงสัดส่วนอาหารที่พอดีกับร่างกายของเด็ก หมุนเวียนเปลี่ยนกันไปเรื่อย ๆ จะได้ไม่เบื่อง่าย ไม่ว่าจะเป็น ไข่ เลือด ตับ เต้าหู้ เนื้อปลา อาหารทะเล โดยให้เด็กกินผักและผลไม้ทุกมื้ออาหารด้วยค่ะ 3. อาหารว่างหรือขนมไม่ควรมีแป้ง น้ำตาล หรือไขมันสูง เช่น มันฝรั่งทอด โดนัท เบเกอรี่ กล้วยบวชชี…
-
ป้องกันอาการปวดหลังเสียแต่เนิ่น ๆ
ป้องกันอาการปวดหลังเสียแต่เนิ่น ๆ ในประชากรวัยผู้ใหญ่กว่าร้อยหละแปดสิบ หรือแปดในสิบคนนั้น มักจะมีอาการ ปวดหลัง ซึ่งนับเป็นการเสื่อมถอยของร่างกายประเภทหนึ่ง โดยอาการปวดจะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับความแข็งแรงและการดูแลตัวเองด้วย ผู้ที่มีอาการปวดหลังนี้ กว่าครึ่งจะหายได้เองในสองสัปดาห์ ร้อยละ 90 จะหายได้ในสามเดือน แต่ยังมีอยู่บ้างเหมือนกันราวร้อยละ 5 ที่มีอาการปวดหลังเรื้อรังและอาการลุกลามมากขึ้น เนื่องจากการอักเสบนั้นก้าวข้ามไปถึงขั้นเส้นประสาทถูกทำลาย ซึ่งจะแสดงอาการออกมาเป็นการกลั้นอุจจาระหรือปัสสาวะไม่อยู่และแขนขาอ่อนแรง ในกรณีนี้ควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วนค่ะ ซึ่งวิธีการป้องกันโรคปวดหลังได้ดีที่สุดก็คือการออกกำลังกาย และป้องกันตนเองมิให้เกิดอุบัติเหตุ ซึ่งการบริหารกล้ามเนื้อหลังจะต้องค่อย ๆ สร้างความแข็งแรงทั้งกล้ามเนื้อหน้าท้องและกล้ามเนื้อหลังไปด้วยกัน และต้องบริหารข้อต่อให้เคลื่อนไหวได้สะดวกด้วย ซึ่งอาจทำได้ด้วยการเดิน การปั่นจักรยาน การว่ายน้ำ ล้วนทำให้หลังแข็งแรงขึ้นได้ทั้งสิ้น ทั้งนี้สิ่งที่สำคัญอีกอย่างที่จะไม่ทำให้ปวดหลังก็คืออย่าปล่อยตัวให้อ้วนลงพุง ทานอาหารที่มีคุณค่า รวมไปถึงออกกำลังกายให้มีความสม่ำเสมอด้วย นอกจากนี้การปรับอิริยาบถให้ถูกต้องก็เป็นเรื่องสำคัญไม่น้อย.. การยืนนั้นต้องหลังตรง แขม่วท้องไว้นิด ๆ ยืนให้ตัวตรงไม่โก่งหรือคด ให้แนวติ่งหูหรือข้อสะโพกเป็นแนวเดียวกัน ไม่ควรยืนนานเกินไป ไม่ควรสวมรองเท้าส้นสูงมาเกินไป ภายในรองเท้าควรหาแผ่นรองเท้าอุ้งเท้าไว้เพื่อซับน้ำหนัก และหากจำเป็นต้องยืนนาน ๆ ควรหาที่พักเพื่อพักเท้า หรือมีเก้าอี้หรือโต๊ะตัวเล็กไว้ช่วยวางเท้าข้างหนึ่งด้วย ทำให้เป็นนิสัยไว้ตลอดไปจะป้องกันอาการปวดหลังพร้อมทั้งอาการข้อเสื่อมต่าง ๆ ได้ การนั่ง ควรเลือกเก้าอี้ที่มีพนักพิงบริเวณเอว เลือกใช้ที่นั่งที่สบายและหมุนได้ ป้องกันการบิดของเอวและที่พักแขน ขณะที่นั่งพักหัวเข่าควรอยู่สูงกว่าระดับข้อสะโพกเล็กน้อย และควรมีเบาะรองเท้าหรือหมอนเล็ก ๆ…
-
วิธีป้องกันโรคตาแดงในระยะระบาด
วิธีป้องกันโรคตาแดงในระยะระบาด โรคที่พบได้บ่อยในหน้าฝนและช่วงที่มีน้ำท่วมมากนั้น โรคหนึ่งที่ระบาดมากในระยะนี้ก็ได้แก่ โรคตาแดงนั่นเอง โรคตาแดงเป็นโรคติดต่อได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ มีอาการไม่รุนแรงมากนัก มักเกิดจากเชื้อไวรัส แต่หากไม่ได้รับการรักษาอาจติดเชื้อแบคทีเรียจนเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ตามมาได้อีก โดยการติดต่อของโรคตาแดงนั้นเกิดจาก การสัมผัสโดยตรงกับน้ำตา ขี้ตา ขี้มูกของผู้ป่วย หรือการใช้สิ่งของร่วมกับผู้ป่วย รวมไปถึงแมลงวันแมลงหวี่ตอมตาด้วย ระยะฟักเชื้อนั้นจะมีเวลาแค่ 1-2 วันเท่านั้นแล้วจะอาการระคายเคืองตา ปวดตา น้ำตาไหล กลัวแสง มีขี้ตามาก หนังตาบวม เยื่อบุตาขาวอักเสบแดง โดยมักจะเริ่มที่ตาข้างใดข้างหนึ่งก่อนแล้วลุกลามไปอีกข้างที่เหลือ การป้องกันโรคตาแดงในระยะระบาดจึงมีคำแนะนำดังต่อไปนี้ค่ะ – หากมีน้ำสกปรกหรือขี้ฝุ่นเข้าตา ให้รีบล้างตาด้วยน้ำสะอาดทันที – หากเริ่มมีอาการดังกล่าวมาข้างต้นให้รีบไปพบแพทย์เพื่อขอรับยามาป้ายหรือหยอดตา เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ติดต่อกันให้หมดตามคำสั่งแพทย์ หากมีไข้ให้ทานยาลดไข้ได้ตามอาการ – หมั่นล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำและสบู่ ไม่ว่าจะเป็นการหลังจากออกจากห้องน้ำ หลังหยิบจับสิ่งของต่าง ๆ ก่อนทานอาหารด้วย – อย่าขยี้ตา อย่าปล่อยให้แมลงมาตอมตาและไม่ควรใช้สายตามากด้วย – ผู้ที่ป่วยเป็นโรคตาแดงควรนอนแยกจากคนอื่น ๆ และไม่ใช่สิ่งของร่วมกัน ปลอกหมอน ผ้าปูที่นอน ผ้าเช็ดตัว เสื้อผ้า ควรซักให้สะอาดอีกครั้งหลังจากหายป่วยแล้ว –…
-
หากไม่อยากเป็น “แม่วัยใส” ควรดูแลตัวเองแบบนี้
หากไม่อยากเป็น “แม่วัยใส” ควรดูแลตัวเองแบบนี้ ในประเทศไทยตอนนี้ทั้งประเทศ มีแนวโน้มที่จะเกิดคุณแม่วัยใส หรือเด็กวัยรุ่นที่ตั้งครรภ์ในวัยเรียนเป็นจำนวนมาก เด็กบางคนยังไม่เคยใช้คำว่านางสาวนำหน้าเลยด้วยซ้ำ กลับต้องมากลายเป็นคุณแม่ไปเสียก่อนก็มี ซึ่งในเรื่องนั้นนั้นกระทรวงสาธารณสุขเป็นห่วงเป็นใยอย่างยิ่งค่ะ การตั้งครรภ์ในช่วงเวลาที่ไม่พร้อมของเด็กวัยรุ่นนั้นเหมือนหลุมดำในชีวิต ที่ไม่อาจหลีกหนีได้พ้น เพราะสถานะความเป็นแม่นั้น เป็นแล้วเลิกกลางคันไม่ได้ ด้วยความห่วงใยที่มีต่อเด็กสาววัยใสทั้งหากยังไม่ถึงเวลาที่พร้อมจะเป็นแม่คนก็ขอให้ลองปฏิบัติตามคำแนะนำดังต่อไปนี้นะคะ 1. เด็กวัยรุ่นทั้งสองเพศควรวางตัวต่อกันอย่างให้เกียรติ ค่อย ๆ เรียนรู้กันไปในด้านของความคิด และความตระหนักถึงความแตกต่างกันระหว่างเพศจะช่วยป้องกันการมีเพศสัมพันธ์แบบไม่คาดคิดได้ 2. เด็กวัยรุ่นผู้ชายคนคิดว่าเพื่อนผู้หญิงทุกคนเป็นเพศเดียวกับแม่ของตน ดังนั้นควรให้เกียรติและให้ความช่วยเหลือ 3. อย่าเพิ่งถูกเนื้อต้องตัวกัน เพราะอาจนำไปสู่การมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ตั้งใจได้ 4. หลีกเลี่ยงการไปพักค้างแรมด้วยกันตามลำพังหรือไปเป็นหมู่คณะก็ตาม 5. หลีกเลี่ยงการอยู่กันตามลำพังในที่รโหฐาน 6. หลีกเลี่ยงการเข้าไปในที่เปลี่ยน ไม่ว่าจะเป็นผับบาร์ สถานเริงรมย์ โรงแรม 7. ควรนัดพบกันในเวลากลางวันจะปลอดภัยกว่าสำหรับเพศหยิง 8. หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องแอลกอฮอล์ทุกชนิด อยู่ให้ห่างสารเสพติดทุกชนิดด้วย เพราะสองสิ่งนี้นำไปสู่เพศสัมพันธุ์ที่ไม่ตั้งใจมากนักต่อนักแล้ว 9. เด็กวัยรุ่นผู้หญิงควรแต่งกายให้มิดชิดปิดของสงวนไว้ ไม่ควรแต่งกายในลักษณะยั่วยุให้เกิดอารมณ์ทางเพศ 10. หลีกเลี่ยงการคบเพื่อนที่ชอบชวนออกไปเที่ยวข้างนอก เที่ยวกลางคืน หรือไปกับคนแปลกหน้า และที่สำคัญมากก็คือหากจะมีเพศสัมพันธุ์ครั้งควรให้ฝ่ายชายสวมถุงยางอนามัย เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์และการติดโรคต่าง ๆ ด้วยค่ะ
-
ดูแลพ่อแม่ ผู้เฒ่าผู้แก่ในบ้านให้ดีก่อนเกิดอันตราย
ดูแลพ่อแม่ ผู้เฒ่าผู้แก่ในบ้านให้ดีก่อนเกิดอันตราย เวลาผ่านไปเร็วนะคะ แป๊บ ๆ เราก็โตกันเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้ว และในทางเดียวกันพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย ของเราก็แก่ลงไปด้วยเช่นกัน หันไปดูแลท่านกันหน่อยนะคะว่าสุขภาพท่านเป็นอย่างไรบ้าง แม้จะไม่มีโรคร้ายปรากฎออกมาให้เห็นแต่การที่ท่านอายุมากขึ้นแล้ว ก็อาจต้องการความเชื่อเหลือดูแลอยู่บ้างแล้วล่ะค่ะ ลองสังเกตดูว่า… 1. ท่านมีน้ำหนักลดลงบ้างหรือไม่ หากจู่ ๆ ก็น้ำหนักลดลงโดยไม่มีสาเหตุ แสดงว่าอาจมีบางอย่างผิดปกติ ซึ่งอาจเป็นปัญหาสุขภาพร้ายแรงได้ ไม่ว่าจะเป็นโรคขาดสารอาหาร ซึมเศร้า ความจำเสื่อม โรคมะเร็งหรือหัวใจล้มเหลว ควรพาไปพบแพทย์ตรวจสุขภาพให้เป็นประจำนะคะ 2. ดูว่าชีวิตประจำวันท่านเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ เช่น ยังมีแรงอาบน้ำแปรงฟันเองหรือเปล่า มีแรงทำกับข้าว หรือแต่งเนื้อแต่งตัวอยู่หรือเปล่า หรือยังทำงานบ้านอยู่เหมือนเดิมได้หรือเปล่า 3. ลองสังเกตการณ์เดินของท่านดูว่ายังเดินเป็นปกติหรือเปล่า สามารถเดินไกล ๆ ไหวหรือเปล่า หรือต้องใช้ไม้เท้าช่วยพยุง 4. อีกทั้งยังควรสังเกตในบ้านด้วยว่ายังเรียบร้อยอยู่หรือไม่ เช่น หลอดไฟขาดเปลี่ยนหรือเปล่า หญ้าตัดหรือไม่ หนังสือพิมพ์หน้าบ้านเก็บหรือเปล่า จานไม่ได้ล้างหลาย ๆ วันเพราะอะไร เครื่องใช้ไฟฟ้าเปิดทิ้งไว้บ่อย ๆ หรือเปล่า เป็นต้น เพราะนั่นอาจเป็นสัญญาณเตือนความผิดปกติก็ได้ 5. ท่านยังสามารถเดินขึ้นลงบันไดชันๆ…
-
ดูแลตัวเองทั้งผู้ป่วยมะเร็งและผู้เฝ้าไข้
ดูแลตัวเองทั้งผู้ป่วยมะเร็งและผู้เฝ้าไข้ โรคร้ายแรงอย่างโรคมะเร็งนี่ หากมีใครในบ้านที่เกิดเป็นขึ้นมาแล้ว ความรุนแรงของโรคมักจะกระทบกระเทือนทั้งจิตใจและร่างกายของผู้ป่วยและผู้ที่อยู่ใกล้ชิดได้ไม่แตกต่างกันเลยนะคะ บางคนใกล้ชิดดูออกจะหมดกำลังใจมากกว่าผู้ป่วยเองเสียอีก ในส่วนของผู้ป่วยนั้นบางคนที่รับรู้มาว่าตัวเองป่วยด้วยโรคร้ายอย่างมะเร็งแล้วก็มักจะแสดงอาการตกใจจนช็อก ไม่ยอมพูดยอมจา นิ่งไปเสียก็มีอยู่มาก และที่โวยวายปฏิเสธไม่ยอมรับความจริง จนต้องเปลี่ยนหมอ เปลี่ยนโรงพยาบาล จนวุ่นวายกว่าจะได้เริ่มต้นรักษาก็มีไม่ใช่น้อย โดยทั่วไปนั้นกลไกลการปรับตัวของผู้ป่วยโรคร้ายจะมีอยู่หกระยะได้แก่ ระยะช็อก ระยะปฏิเสธ ระยะโกรธ ระยะต่อรอง ระยะซึมเศร้า จนไปสุดที่ระยะยอมรับความจริง ผู้ป่วยบางคนอาจมีครบทั้งหกระยะ บางรายก็เริ่มที่ข้อใดข้อหนึ่ง แล้วไปจบไม่ครบหกระยะก็ได้ด้วย ดังนั้นผู้ที่ดูแลก็จำเป็นต้องเข้าใจจิตใจและอารมณ์ของผู้ป่วย ที่มักจะขึ้น ๆ ลง ๆ เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา อีกประการก็คือหากยิ่งผู้ป่วยยอมรับอาการป่วยของตนเองได้เร็วเท่าไรก็ยิ่งเข้ารับการรักษาได้เร็วเท่านั้น ทั้งยังมีสิทธิที่จะหายป่วยได้มากขึ้นอีกด้วย ผู้เฝ้าไข้เองก็จำเป็นต้องดูแลทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิตใจของตนเองด้วย เพราะตนเองนั้นเป็นเสาหลักที่ไม่ควรล้ม ต้องมีสติให้มากกว่าผู้ป่วยเสมอ คุณอาจจำเป็นต้องสละเวลาส่วนตัวในการช่วยเหลือดูแลผู้ป่วย เป็นไปได้ก็คือควรมีผู้ช่วยหรือมีมือสำรองในการผลัดเปลี่ยนกันดูแล อย่าให้ความรับผิดชอบตกอยู่กับใครคนใดคนหนึ่งมากเกินไป หากมีพี่น้องหลายคนก็คนผลัดกันมาดูแลช่วยเหลือด้วย ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องเวลา กำลังกาย กำลังใจ เงินทอง และการไปรับไปส่งตามหมอนัด เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาและฟื้นตัวให้เร็วที่สุดได้นั่นเอง การดูแลผู้ป่วยโรคร้ายหรือโรคมะเร็งนั้น จะดีที่สุดก็คือเมื่อผู้เฝ้าไข้เองได้เรียนรู้และหันมาดูแลตัวเอง ป้องกันตนเองและคนที่ใกล้ชิดไม่ให้เป็นมะเร็ง และร่วมกันหาวิธิที่จะทำให้ผู้ป่วยได้อยู่กับโรคมะเร็งที่เขากำลังเผชิญอยู่ใกล้มีความสุขให้ได้ให้มากที่สุด
-
ประโยชน์ของการเคี้ยวช้า ๆ
ประโยชน์ของการเคี้ยวช้า ๆ อาหารที่เราทานกันอยู่ทุกวันนี้ ที่ทานกันลงท้องไปก็ใช่ว่าจะทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารไปซะหมด มีบางคำหรือบางครั้งเหมือนกันที่ทานเข้าไปก็ไม่มีประโยชน์ ด้วยเหตุผลไม่ว่าจะเป็น ท้องอืดหรือระบบการย่อยไม่ดีเพราะเครียดบ่อย หรือหากเป็นอาหารที่สกปรกหรือปนเปื้อนเชื้อโรค ร่างกายก็จะขับสารพิษพร้อมอาหารนั้นให้ออกมาอยู่ดี อีกทั้งในชีวิคคนไทยเราปัจจุบันนี้มีแต่ความเร่งรีบ แม้แต่การกินอาหารก็ยังแทบไม่มีเวลาเคี้ยว สารอาหารที่ควรจะรับก็ลดน้อยลงไป วันนี้จึงจะมาพาคุณผู้อ่านให้เคี้ยวอาหารกันให้ละเอียด ๆ นาน ๆ เพื่อให้ร่างกายได้รับประโยชน์สูงสุดดังต่อไปนี้ค่ะ – ในขณะที่เคี้ยวอาหาร ฟันและลิ้นจะทำหน้าที่ช่วยกันตัด ฉีก บดอาหารจนละเอียด ซึ่งที่ดีที่สุดก็คือต้องเหลวแหลกจนมีสภาพเป็นเนื้อครีมก่อนการกลืนสู่กระเพาะอาหารและลำไส้ อาหารที่ถูกเคี้ยวจนเหลวแหลกนี้จะย่อยได้ง่ายและถูกดูดซึมได้อย่างเต็มที่และรวดเร็ว ไม่มีเศษอาหารตกค้างเน่าเสียในท้อง หรือมีก็เหลือน้อยมาก จึงเป็นผลดีต่อสุขภาพมากค่ะ – เป็นการช่วยให้ลิ้นได้รับรสชาติที่เป็นธรรมชาติของอาหารแท้ ๆ ไม่ว่าจะเป็น ข้าว ผัก ถั่วต่าง ๆ คุณจะสามารถรับรสชาติดี ๆ ของอาหารได้มากขึ้น ทำให้ต่อไปคุณอาจไม่อยากปรุงแต่งรสชาติให้มากจนเสียความเป็นธรรมชาติอีกต่อไปเลยค่ะ – ยิ่งเคี้ยวนาน เคี้ยวมากเท่าไร น้ำลายในปากก็จะยิ่งออกมามากขึ้นเท่านั้น ประโยชน์ของน้ำลายคือช่วยเป็นตัวหล่อลื่นทำให้สะดวกในการกลืน แล้วเอนไซม์ในน้ำลายเองยังช่วยย่อยอาหาร ช่วยให้รับรู้รสชาติได้ดีขึ้น อาหารอร่อยมากขึ้น ช่วยให้มีภูมิคุ้มกันที่ดี ช่วยชำระล้างเศษอาหารและคราบจุลินทรีย์ต่าง ๆ ออกจากตัวฟันได้มากขึ้น ช่วยกำจัดแบคทีเรียที่อาจเจริญเติบโตในช่องปาก ซึ่งเป็นตัวการทำให้ฟันผุได้ ทั้งนี้จำนวนการเคี้ยวอาหารที่จะทำให้น้ำลายหลั่งออกมามากพอก็คือ 50-100…
-
ดูแลตัวเอง…ไม่ให้หน้ามืดวิงเวียนบ่อย ๆ
ดูแลตัวเอง…ไม่ให้หน้ามืดวิงเวียนบ่อย ๆ โดยทั่วไปแล้วความดันปกติของคนเราจะอยู่ที่ 90 – 130 (ตัวบน) / 60 – 90 (ตัวล่าง) มิลลิเมตรปรอท แต่ถ้ามีค่าความดันโลหิตต่ำกว่า 90 / 60 ก็ถือว่าเป็นผู้ที่มีอาการความดันโลหิตต่ำค่ะ ซึ่งเกิดจากจากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นโรคหัวใจ การขาดสารน้ำจากการเสียเหงื่อมาก ท้องเสีย เสียเลือด หรือความอ่อนแอจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ เลือดจาง ฯลฯ โดยบางรายอาจไม่จำเป็นต้องแสดงอาการออกมา แต่บางรายก็มักมีอาการอ่อนเพลียหน้ามืด มึนงง เวลาลุกนั่งหรือเวลายืน หรือเวลาเปลี่ยนท่าเร็ว พาลจะทำให้เป็นลมได้ หากมีอาการเรื้อรัง กับมีอาการดังต่อไปนี้ด้วย ไม่ว่าจะเป็น เจ็บหน้าอกรุนแรง ท้องเสียหรือปวดท้องอย่างมาก อาเจียนมาก ถ่ายเป็นสีดำ ใจสั่น ชีพจรเต้นเร็ว เหงื่อแตก ควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วน แต่หากไม่ได้มีอาการดังกล่าวเป็นแต่เพียงอาการหน้ามืด วิงเวียนบ่อย ๆ เท่านั้นก็ควรดูแลตัวเองด้วยการปฏิบัติดังต่อไปนี้ค่ะ – เวลาเปลี่ยนท่าให้ค่อย ๆ ลุก เช่น หากตื่นนอนควรค่อย ๆ นั่งก่อนสักครู่แล้วจึงค่อยลุกขึ้นยืน…