Author: pure
-
หลักการปฐมพยาบาลเบื้องต้นที่ทุกคนควรรู้
หลักการปฐมพยาบาลเบื้องต้นที่ทุกคนควรรู้ แม้ตอนเด็ก ๆ เราจะได้เคยเรียนรู้การปฐมพยาบาลมาบ้างในวิชาลูกเสือ แต่ก็ใช่ว่าถ้าได้เจอกับอุบัติเหตุเข้าจริง ๆ และพบผู้ที่บาดเจ็บจริง ๆ แล้วจะสามารถให้ความช่วยเหลือได้อย่างถูกวิธี ซึ่งส่วนใหญ่เรามักจะลังเลว่าที่กำลังจะไปช่วยเขานั้น จะทำให้เขาแย่ลงบ้างหรือเปล่า วันนี้เราจะขอนำหลักการปฐมพยาบาลที่ถูกต้องมาช่วยกันเผยแพร่ เพื่อช่วยกันให้ความช่วยเหลือผู้อื่นที่บาดเจ็บจากเหตุไม่คาดถึงกันได้ เพื่อลดความสูญเสียให้น้อยลงกันค่ะ วัตถุประสงค์หลักของการปฐมพยาบาลก็คือเพื่อลดความรุนแรงของการบาดเจ็บหรือความเจ็บป่วยลง ลดความเจ็บทรมาน ช่วยยืดชีวิตให้มากพอจนกว่าจะถึงมือหมอได้จริง ทั้งยังป้องกันความพิการและทำให้ผู้ป่วยฟื้นสภาพได้เร็วขึ้นด้วย โดยผู้ที่ต้องเข้าไปปฐมพยาบาลนั้นควรวิเคราะห์อาการต่าง ๆ ของผู้ได้รับบาดเจ็บก่อน แล้วจึงค่อยให้ความช่วยเหลืออย่างมีสติ ตามลำดับความจำเป็นดังต่อไปนี้ 1. อันดับแรกให้โทรเรียก หน่วยกู้ชีพ 1669 ก่อน อย่าเพิ่งเคลื่อนย้ายผู้ป่วยไปไหน ยกเว้นว่าจุดนั้นจะมีอันตราย เช่น ไฟไหม้ หรืออยู่กลางถนน ตึกถล่ม เป็นต้น และควรย้ายอย่างถูกวิธีด้วย 2. หากผู้ป่วยยังพอมีสติให้ถามว่าเจ็บตรงไหนแล้วให้การช่วยเหลือ หากผู้ป่วยมีเลือดออกให้ทำการห้ามเลือด หากไม่มีให้ความอบอุ่นกับตัวผู้ป่วย เพราะผู้ที่ตกใจนั้นส่วนใหญ่มักจะตัวเย็นและซีด ควรห่มผ้าให้อบอุ่น และหนุนลำตัวให้สูงกว่าหัวนิดหน่อยเพื่อให้เลือดไหลไปเลี้ยงสมองได้ดีขึ้น 3. หากมีสิ่งของในปากผู้ป่วยให้ล้วงออกมา เช่น ฟันปลอม ของกินอื่น ๆ เพื่อป้องกันมิให้สำลักหรือหลุดลงคอไปอุดทางเดินหายใจ ให้ผู้ป่วยนอนหงาย แหงนศีรษะขึ้นเพื่อให้หายได้สะดวก 4. ตรวจร่างกายว่ามีรอยบาดเจ็บหรือไม่ เช่น…
-
ป้องกันการฆ่าตัวตายของคนใกล้ชิด
ป้องกันการฆ่าตัวตายของคนใกล้ชิด เชื่อหรือไม่คะ แต่ละปีมีผู้เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายถึงปีละกว่า 1 ล้านคนหรือเฉลี่ย 1 คนทุก ๆ 40 วินาทีเลยนะคะ นี่ยังไม่นับว่ายังมีคนพยายามฆ่าตัวตายอีกประมาณ 10-20 ล้านคนจากทั่วโลกตัว แม้แต่ในประเทศไทยเองจากข้อมูลของกรมสุขภาพจิตนั้น มีคนไทยฆ่าตัวตายกันกว่าปีละหกแสนคนเลยทีเดียว นับเป็นปัญหาสำคัญมากในระดับโลก จนทำให้องค์การอนามัยโลกกำหนดให้ทุกวันที่ 10 กันยายนของทุกปีเป็นวัน ป้องกันการฆ่าตัวตายโลก World Suicide Prevention Day แม้สาเหตุการฆ่าตัวตายจะซับซ้อนและมีหลากหลายปัจจัย แต่นักจิตวิทยาก็ยืนยันว่าปัจจัยที่มีผลต่อการฆ่าตัวตายทุกเพศทุกวัยคือโรคซึมเศร้าค่ะ จากข้อสังเกตของ พญ. อภิสมัย ศรีรังสรรค์ จิตแพทย์โรงพยาบาลศรีธัญญา ได้ให้ข้อสังเกตไว้ว่าผู้ที่มีความเสี่ยงคิดฆ่าตัวตายมักเป็นคนโสด มีนิสัยหุนหันพลันแล่น, คนที่เป็นโรคร้าย โดยผู้ชายจะมีอัตราการฆ่าตัวตายแล้วสำเร็จมากกว่าผู้หญิง และเกิดขึ้นกับกลุ่มวัยรุ่นและผู้สูงอายุมากกว่าวัยอื่น ๆ ญาติและผู้อยู่ใกล้ชิดควรเปลี่ยนความเชื่อที่มองว่า การฆ่าตัวตายเป็นการเรียกร้องความสนใจ เปลี่ยนเป็นมองว่านั่นคือสัญญาณขอความช่วยเหลือ ซึ่งจะทำให้เอาใจใส่และให้ความดูแลผู้ป่วยได้ดีขึ้น หากพบสัญญาณดังกล่าวควรแสดงการดูแล และให้ความช่วยเหลือด้วยการเข้าไปสอบถามก่อน และให้เขาได้รู้ว่าคนรอบข้างก็เจ็บปวดไปกับเขาด้วยเช่นกัน เท่านี้ก็จะช่วยป้องกันการฆ่าตัวตายได้ หากคนรอบข้างคุณแสดงอาการที่เสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายหรือโรคซึมเศร้าออกมา ควรดูแลใกล้ชิดและพาไปพบแพทย์เพื่อรักษาและป้องกันไว้ก่อนจะดีกว่า
-
กินมื้อดึก…ร่างกายเสื่อมโทรมรวดเร็ว
กินมื้อดึก…ร่างกายเสื่อมโทรมรวดเร็ว คนที่ชอบทานอาหารมื้อดึก ๆ นั้น ถ้าสังเกตสุขภาพร่างกายของเค้าจะพบว่าเป็นคนที่ไม่แข็งแรง และมีความไม่ปกติกับร่างกายหลายส่วน ทั้งการตื่นสาย ท้องอืด ระบบการย่อยรวนเร เป็นโรคกรดไหลย้อน หรือโรคกระเพาะอาหาร ตลอดจนคนที่กินมื้อดึกยังทำให้ร่างกายทำงานหนักกว่าปกติ แทนที่ร่างกายจะได้พักผ่อนในยามค่ำคืนกลับต้องมาย่อยอาหารที่มักจะเป็นมื้อใหญ่เสียด้วย ดังนั้นร่างกายก็จะเริ่มเสื่อมสภาพด้วยการเริ่มต้นเป็นโรคอ้วน เบาหวาน โรคความดัน นอนไม่หลับ ฯลฯ จนสุขภาพทรุดโทรมลงอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าร่างกายแก่กว่าอายุจริงไปมากเลยนั่นล่ะค่ะ การจะทราบได้ว่าคุณเป็นคนที่กินมื้อดึกหรือเปล่า ก็ให้ลองสังเกตที่มื้อเช้านั่นล่ะค่ะว่า รู้สึกจุกตื้ออยู่ หรือไม่อยากอาหารเช้าหรือเปล่า นั่นเป็นเพราะยังอิ่มจากการที่กินไว้ตั้งแต่เมื่อคืน กว่าจะได้กินก็มื้อเที่ยงไปแล้ว หรือไปมื้อบ่ายเลย ส่วนมื้อเย็นก็มักจะเป็นหลังสองทุ่มขึ้นไปและมักจะกินมื้อใหญ่ด้วย คนที่กินมื้อดึกมักจะนอนไม่หลับในเวลากลางคืน (เพราะร่างกายกำลังย่อยอาหาร) แต่มาง่วงเหงาในเวลากลางวัน อีกอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือคนกินดึกจะเจ้าเนื้อจนอวบอ้วนกว่าคนอื่น ๆ ด้วย หากไม่อยากเจ็บป่วยด้วยโรคภัยนานาชนิดและโรคอ้วนด้วยแล้ว ควรปรับพฤติกรรมการกินเสียใหม่ เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ ด้วยการทานข้าวเช้าทุกวัน และทานทุกมื้อให้เป็นเวลาด้วย มื้อเย็นควรทานก่อนนอนประมาณ 3 ชั่วโมง หรือก่อนหกโมงเย็น เพื่อให้ร่างกายได้ย่อยอาหารได้อย่างเต็มที่ เข้าใจว่าช่วงแรกนั้นทำได้ยาก แต่ก็ค่อย ๆ ต้องปรับไปค่ะ ระหว่างนี้มื้อเย็นสามารถทานอาหารที่สร้างเมลาโทนินได้ เช่น แกงขี้เหล็กหรือข้าวโพด เพื่อให้หลับได้ง่ายจะได้ไม่ต้องหิวตอนดึก ๆ ค่ะ
-
ใช้ชีวิตให้ดี ห่างไกลจากโรคไต
ใช้ชีวิตให้ดี ห่างไกลจากโรคไต ไตของคนเรานั้น เป็นอวัยวะที่มีขนาดเท่ากับกำปั้นของเจ้าของ มีรูปร่างคล้ายถั่วแดง อยู่บริเวณด้านหลังของลำตัวในระดับของกระดูกซี่โครงส่วนล่าง ทำหน้าที่ควบคุมปริมาณน้ำและเกลือแร่ ควบคุมการทำงานของฮอร์โมนในร่างกาย กรองของเสียในร่างกาย หากไตบกพร่องก็อาจทำให้คุณเป็นโรคไตได้ด้วย โรคไตนั้นมีหลายชนิด แต่ที่อันตรายที่สุดเห็นจะเป็นไตวายเรื้อรัง มีอาการที่เห็นได้ก็คือ นอนไม่หลับ เบื่ออาหาร คลื่นไส้ ซึม วิงเวียน ปวดหัว การรับรสเปลี่ยนไป มีอาการชาตามปลายมือและปลายเท้า รวมทั้งน้ำหนักตัวลดลงได้ และที่เป็นสัญญาณเตือนของโรคไตที่สำคัญคือ พฤติกรรมการถ่ายปัสสาวะเปลี่ยนไปทั้งในเรื่องความถี่ ปริมาณของน้ำปัสสาวะ สีของปัสสาวะ เช่น เข้าห้องน้ำบ่อยขึ้นเวลากลางคืน ปริมาณลดน้อยลง ปัสสาวะเป็นสีน้ำล้างเนื้อ หรือมีเลือดปนออกมา รวมทังปวดหลังปวดเอว ความดันโลหิตสูง หน้าบวม เท้าบวมและท้องบวม กลุ่มเสี่ยงในการเป็นโรคไตวายนั้นจะมีอยู่สองกลุ่มก็คือ กลุ่มที่เป็นโรคที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคไตอยู่แล้ว เช่น ความดันสูง หรือเบาหวาน กับอีกกลุ่มคือเป็นโรคไตซ่อนอยู่ และไม่เคยแสดงอาการอะไรออกมาเลย ไม่เคยป่วยเจ้าโรงพยาบาลแต่ความจริงมีโรคไตซ่อนอยู่ หากไม่ตรวจก็จะไม่รู้ว่าเป็นโรคไต โรคไตนี้สามารถป้องกันและหลีกเลี่ยงได้โดย – อย่าทรมานไตมากเกินไป ด้วยการกินยาที่ซื้อมาเอง หรือกินยาผิดขนาด ผิดชนิด และปริมาณ รวมทั้งกินยาซ้ำซ้อนไปหมด หากซื้อยามากินเองไม่ปรึกษาแพทย์อาจทำให้เกิดผลเสียต่อไต ทำให้ไตอักเสบและเป็นโรคไตได้ –…
-
รักษาอารมณ์ให้ดีเข้าไว้ สุขภาพกายแข็งแรงตาม
รักษาอารมณ์ให้ดีเข้าไว้ สุขภาพกายแข็งแรงตาม สาเหตุสำคัญอีกประการที่ทำให้ร่างกายเสื่อมโทรมก็คือ “ความเครียด” นี่เองล่ะค่ะ เพราะว่าเวลาที่เราเครียดนั้น สมองจะหลังฮอร์โมนบางชนิดออกมาทำให้กล้ามเนื้อเกร็งตัว ซึ่งเป็นกลไกการป้องกันตนเอง เพื่อให้ร่างกายมีความพร้อมในการทำบางอย่าง หากกลัวแล้วหนีจะวิ่งได้เร็วกว่าปกติ แต่หากสู้ก็มีกำลังมหาศาลมากกว่าปกติด้วยเช่นกัน ภาวะเครียดน้อย ๆ ทำให้ร่างกายเราตื่นตัวและเตรียมพร้อม แต่หากเครียดมากเกินไปกลับทำลายสุขภาพมากกว่า เมื่อเกิดความเครียดขึ้นมาแล้ว ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้อยู่กับเรานานเกินไป ควรหาทางกำจัดไปเสียก่อนที่ความเครียดจะลุกลามมากขึ้น เพราะวันทั้งวันเราก็เจอความเครียดในหลายรูปแบบกันอยู่แล้ว ร่างกายเกิดการเกร็งตัวทั้งวัน เมื่อความเครียดเกิดขึ้นระบบต่าง ๆ ในร่างกายจะติดขัดทุกครั้ง ดังนั้นยิ่งเครียดก็ยิ่งเป็นอันตราย แต่หากเรามีอารมณ์ที่ดี คิดดี ปรารถนาดี ใจดี สมองก็จะหลั่งสารเอนโดรฟินออกมาทำให้ร่างกายผ่อนคลาย โลหิตหมุนเวียนในร่างกายได้ดี ภูมิต้านทานดีขึ้น ฯลฯ เรียกได้ว่าทุกระบบของร่างกายทำงานสมดุลกันอย่างดีเยี่ยมเลยค่ะ ซึ่งการทางแพทย์แผนจีนนั้นได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่าความเครียดส่งผลเสียต่อร่างกายอย่างมาก การรักษาสุขภาพต้องรักษาอารมณ์และจิตใจให้ดีด้วย – คนที่มักหงุดหงิดขี้โมโห ไม่พอใจสิ่งรอบข้างตลอดเวลา มักจะมีอาการเกี่ยวกับตับ – คนขี้วิตกกังวล เครียดบ่อย จะส่งผลต่อกระเพาะอาหาร – ส่วนคนที่โศกเศร้าเสียใจ มักมีปัญหากับปอด – คนที่ตกใจง่ายหรือหวาดกลัวบ่อย มักจะเป็นโรคไต – แต่หากเป็นโรคซึมเศร้า จะกระทบกับทุกส่วน – แม้แต่อาการดีใจมากเกินไปก็ทำให้หัวใจเต้นไม่เป็นปกติ ทำให้เป็นโรคหัวใจได้อีกเหมือนกัน…
-
การดูแลช่องปากเพื่อป้องกันโรคเหงือกอักเสบ
การดูแลช่องปากเพื่อป้องกันโรคเหงือกอักเสบ โรคเหงือกอักเสบ เป็นโรคที่คนส่วนใหญ่มักไม่ค่อยใส่ใจมากนัก แต่หารู้ไม่ว่าโรคนี้ทำให้เกิดปัญหาลุกลามจนสูญเสียฟันได้เลยทีเดียว โดยสาเหตุของโรคเหงือกอักเสบนั้นเกิดมาจากการขาดการดูแลรักษาความสะอาดภายในช่องปากอย่างถูกวิธี จึงเกิดคราบสะสมของจุลินทรีย์รวมทั้งหินปูนที่เป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคที่ทำให้เป็นโรคเหงือกอักเสบ เหงือกบวมแดง เลือดออกตามไรฟันโดยเฉพาะเวลาที่แปลกฟัน หากไม่รักษาอาจเป็นสาเหตุให้กระดูรอบรากฟันโดนทำลายจนฟันโยกคลอนและหลุดในที่สุด นอกจากนี้แล้วโรคเหงือกอักเสบยังเป็นสาเหตุของโรคอื่น ๆ ตามร่างกายได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นโรคหัวใจ โรคหลอดเลือด ทำให้คนไข้เบาหวานควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ยาก อาจทำให้ผู้ที่ตั้งครรภ์คลอดก่อนกำหนดได้อีก ฯลฯ การดูแลช่องปากให้ห่างไกลโรคเหงือกอักเสบนั้น ควรทำความสะอาดฟันอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอ เลือกใช้แปรงสีฟันที่มีขนอ่อนนุ่ม ควรแปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้งเช้าเย็นโดยใช้ร่วมกับไหม่ขัดฟันด้วยก็ได้ ไม่ควรทานอาหารที่มีรสเปรี้ยวจัด เช่น ส้ม มะนาว หรือน้ำอัดลมที่มีกรดสูง ไม่ควรแปรงฟันหลังกินอาหารทันทีเพราะทำให้ฟันสึกได้ง่าย ระวังอย่าแปรงฟันนานเกินไปเพราะอาจทำให้เหงือกได้รับการเสียดสีจนอักเสบได้ แล้วอย่าลืมไปตรวจสุขภาพช่องปากปีละอย่างน้อยหนึ่งครั้ง ขูดหินปูนด้วย ในส่วนของสุขภาพในช่องปากของเด็ก ๆ ควรดูแลการแปรงฟันให้ถูกวิธี หลีกเลี่ยงของหวาน ลูกอม ขนมต่าง ๆ เพื่อป้องกันการกินจุบจิบไปด้วย หันมาทานผักสดผลไม้สดที่ดีต่อสุขภาพ ฟันของคุณและลูก ๆ จะได้อยู่กับเราไปนาน ๆ จนแก่เฒ่าไม่ต้องพึ่งฟันปลอมยังไงล่ะคะ
-
ป้องกันโรคปอดบวมในเด็ก…ในช่วงหน้าฝน
ป้องกันโรคปอดบวมในเด็ก…ในช่วงหน้าฝน โรคปอดบวมเป็นโรคติดเชื้อร้ายแรงเฉียบพลัน ที่รุนแรงและมีอันตรายถึงตายได้เลยในเด็กเล็ก ๆ โรคนี้นั้นโดยประมาณแล้วองค์การอนามัยโลกระบุว่า ทุก ๆ นาทีจะมีเด็กอายุต่ำกว่าห้าขวบเสียชีวิตด้วยโรคปอดบวมอย่างน้อยหนึ่งคน จึงทำให้เด็กเล็กทั่วโลกเสียชีวิตด้วยโรคนี้เฉลี่ยปีละประมาณสองล้านคนแลยทีเดียว โรคปอดบวมนี้เกิดจากเชื้อไวรัสและเชื้อแบคทีเรียค่ะ มักจะพบในผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอ มีภูมิต้านทานโรคต่ำ ไม่ว่าจะเป็น เด็กเล็กอายุน้อยกว่าห้าขวบ, ทารกแรกเกิดไม่แข็งแรง, ผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวี, ผู้ที่เป็นโรคเรื้อรังต่าง ๆ รวมไปถึงผู้สูงอายุด้วย โดยระยะที่ระบาดมากที่สุดก็คือช่วงหน้าฝนตั้งแต่เดือนกรกฎาคมถึงเดือนกันยายนของทุกปี โรคนี้ติดต่อกันได้ด้วยการหายใจเอาเชื้อที่ฟุ้งอยู่ในอากาศเข้าสู่ปอด, การไอหรือจามรดกัน, การคลุกคลีกับผู้ป่วยโรคนี้อยู่แล้ว, การสำลักสิ่งแปลกปลอมที่มีเชื้อโรคเข้าไปในจมูกและลำคอ เช่น เด็กที่สำลักน้ำขณะเล่นน้ำก็สามารถเป็นโรคปอดบวมได้ด้วย อาการของโรคนี้จะมีไข้สูง ไอหนัก ไอมาก หายใจเร็ว หรือหายใจลำมาก และถ้าอาการหนักจะหอบถี่ หายใจลำบากหรือมีเสียงดังวี๊ด ๆ หรือหายใจแรงหอบจนซี่โครงบุ๋มตัว เล็บมือเล็บเท้า ริมฝีปากเขียวคล้ำ ซึมหรือกระสับกระส่าย หากมีอาการเช่นนี้แล้วควรรีบน้ำผู้ป่วยไปพบแพทย์โดยด่วนเพราะอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ สำหรับโรคนี้ที่มีความอันตรายมากสามารถป้องกันได้โดย – รักษาสุขภาพให้แข็งแรง พักผ่อนนอนหลับอย่างสม่ำเสมอ – กินอาหารที่ประโยชน์ และออกกำลังกายบ่อย ๆ – ไม่ควรพาเด็กไปในที่แออัดหรือมีคนมาก รวมทั้งไม่ควรให้เด็กอยู่ใกล้ชิดผู้ป่วย – สำหรับเด็กที่เลี้ยงในห้องแอร์ควรสวมเสื้อผ้าให้อบอุ่นไว้มาก ๆ – เด็กเล็กควรดื่มน้ำนมแม่เพื่อให้ได้รับภูมิต้านทานให้เต็มที่…
-
กลูต้าไทโอนทำให้ผิวขาวใสได้จริงหรือ?
กลูต้าไทโอนทำให้ผิวขาวใสได้จริงหรือ? กลูต้าไทโอนเป็นสารที่พบได้ในพืช ผัก ผลไม้ทั่วไป รวมทั้งเนื้อสัตว์ด้วย แหล่งของกลูต้าไทโอนที่พบได้มากได้แก่ อะโวคาโด หน่อไม้ฝรั่ง สตรอเบอ์รี่ มะเขือเทศ ส้ม บร็อกโคลี่ ผักโขม เกรปฟรุต ฯลฯ และกลูต้าไทอนนี้ยังพบได้ในเซลล์ตับของเราเอง ซึ่งมนุษย์ผลิตได้เองตามธรรมชาติ แต่ลดลงเมื่ออายุมากขึ้น กลูต้าไทโอนเป็นกรดอมิโนที่สำคัญในการต้านอนุมูลอิสระ จึงช่วยชะลอความเสื่อมของร่างกายได้ ช่วยให้ตับขับสารพิษออกจากร่างกายด้วย นอกจากนี้แล้วยังเป็นสารที่นำมารักษาโรคข้ออักเสบ มะเร็ง พาร์กินสัน โรคตับ โรคไต โรคเอดส์ รักษาอาการหูตึงจากเสียงดัง รักษาภาวะเป็นหมันในเพศชายได้ ส่วนที่ทานแล้วผิวขาวขึ้นนั้นเป็นผลข้างเคียงที่เกิดขึ้น เพราะกลูต้าไทโอนนั้นจะเข้าไปยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานินบนผิวหนังและตามร่างกายด้วย ด้วยความที่สารนี้เป็นสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกายเทียบเท่าวิตามินซีหรือวิตามินอี การเพิ่มสารนี้เข้าไปในร่างกายจะช่วยให้มีสุขภาพแข็งแรงขึ้น ช่วยให้อายุยืนยาวขึ้น ซึ่งนั่นเป็นวัตถุประสงค์หลักของกลูต้าไทโอนมากกว่าผิวขาวใส แต่ก็ใช่ว่าจะกินกลูต้าไทโอนเข้าไปแล้วจะได้รับผลอย่างที่ต้องการทุกครั้ง หากคุณดื่มเหล้า เบียร์ สูบบุหรี่ ดื่มกาแฟ หรือทานยาพาราเซตามอลอยู่บ่อย ๆ ตลอดจนออกกำลังกายหนัก ๆ ก็จะทำให้กลูต้าไทโอนสูญเสียประสิทธิภาพลงไปได้ และการกินกลูต้าไทโอนนี้ก็อาจทำให้มีผลข้างเคียงด้วยคือ ทำให้ผิวหนังแดง ความดันโลหิตต่ำ หอบหืดเฉียบพลัน จึงควรสังเกตอาการหลังการกินไปด้วย แต่อย่างไรก็ตามการทานอาหารทุกหมู่ที่มีความสดใหม่จากธรรมชาติ และดูแลตนเองอย่างสม่ำเสมอ ก็จะทำให้ผิวพรรณดูสดใส เปล่งปลั่งร่างกายแข็งแรงได้อย่างเต็มที่ที่สุดแล้วค่ะ
-
บรรเทาอาการกรดไหลย้อนด้วยตัวคุณเอง
บรรเทาอาการกรดไหลย้อนด้วยตัวคุณเอง เคยเป็นบ้างหรือเปล่าคะ “แสบร้อนบริเวณหน้าอกหลังทานอาหารหรือกำลังนอนหลับ” อาหารเหล่านี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับหัวใจและหลอดเลือดแต่อย่างใด แต่เกิดจากกรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นมาบริเวณคอหอยและหน้าอก และมักจะเป็นในเวลากลางคืน ส่วนสาเหตุนั้นก็เกิดจากการที่กล้ามเนื้อหูรูดบริเวณท้ายของหลอดอาหารทำงานผิดปกติ กรดจึงไหลย้อนจากกระเพาะขึ้นมาสู่หลอดอาหาร กล้ามเนื้อของกระเพาะอาหารบีบตัวช้ากว่าปกติ ทำให้อาหารเคลื่อนตัวได้ช้า กรดจึงไหลย้อนขึ้นมาจากกระเพาะมากกว่าปกติ แล้วยังมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น แสบร้อนกลางอก หรือ HeartBurn ไอแห้ง ๆ ตอนกลางคืน เรอเปรี้ยว กลืนลำบาก เสียงแหบ อาเจียน เจ็บคอ น้ำหนักลด ฯลฯ เมื่อได้พบแพทย์แล้วได้ถูกบ่งชี้ว่าคุณเป็นโรคกรดไหลย้อนอย่างชัดเจน จะทำการรักษาด้วยการใช้ยาลดกรด ช่วยลดอาการแสบร้อนกลางอก และบรรเทาอาการจากกรดไหลย้อนได้ ยาลดกรดจะลดปริมาณของกรดในกระเพาะอาหารและเพิ่มการเคลื่อนตัวของระบบทางเดินอาหาร วิธีนี้ได้ผลดีในผู้ที่มีอาการไม่รุนแรง หรือแสบร้อนกลางอกเป็นครั้งคราว ถ้าอาการของคุณบ่งชี้ว่าเป็นภาวะกรดไหลย้อนอย่างชัดเจนจะทำการรักษาโดยใช้ยาลดกรดซึ่งต้องมีคุณสมบัติในการรักษาอาการแสบร้อนกลางอก และเป็นยาที่มีประสิทธิภาพบรรเทาอาการจากกรดไหลย้อนได้ เพื่อลดปริมาณกรดในกระเพาะอาหารและเพิ่มการเคลื่อนตัวของระบบทางเดินอาหาร ในการกำจัดกรดซึ่งจะช่วยลดความเป็นกรดในกระเพาะอาหารใช้ได้ผลดีในผู้ที่มีอาการไม่รุนแรงหรือมีอาการแสบร้อนหน้าอกเป็นครั้งคราว แล้วยาลดกรดยังช่วยดูดซับแก๊สในกระเพาะอาหาร ลดการเรอเปรี้ยวและความดันในท้อง และนอกจากนี้แล้ว เรายังควรดูแลตัวเองด้วยการปฏิบัติตามหลักดังต่อไปนี้ค่ะ ควรปรับพฤติกรรมการกินอาหารให้ทานเป็นมื้อเล็ก ๆ วันละ 4-6 มื้อ หัดเคี้ยวอาหารให้ละเอียด ๆ เพื่อลดภาระของกระเพาะอาหาร ไม่ควรทานอาหารทอด อาหารที่มีรสชาติจัดจ้าน หรืออาหารที่มีไขมันสูง ไม่ควรสวมเสื้อผ้าที่คับแน่นเพราะจะเป็นการเพิ่มแรงดันในช่องท้องกรดก็อาจจะไหลย้อนกลับขึ้นมาได้อีก…
-
อาหารเพื่อสุขภาพ เตรียมไม่ยากหรอก
อาหารเพื่อสุขภาพ เตรียมไม่ยากหรอก เดี๋ยวนี้เนื้อหมู เนื้อวัว ต่าง ๆ ก็แข่งกันขึ้นราคาไม่เว้นวัน รวมไปถึงของอุปโภคบริโภคต่าง ๆ ด้วย แต่ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลไปเพราะหากเนื้อหมูแพง เราก็หันมาทานเนื้อสัตว์อื่นที่ให้โปรตีนแทนก็ยังได้ ไม่ว่าจะเป็น ไข่ นม หรืออาหารเจ แมคโครไบโอติกส์ อาหารชีวจิตแทนได้เหมือนกัน ไม่ต้องกลัวไปหรอกว่าไม่ทานเนื้อสัตว์แล้วจะขาดโปรตีน เราสามารถลดการทานเนื้อสัตว์ได้ด้วยการลดเนื้อสัตว์ใหญ่ลงก่อน แล้วหันมากินปลา เนื้อไก่ นม ไข่ เต้าหู้ ถั่ว งา ธัญพืช ก็ได้โปรตีนเช่นเดียวกัน อร่อยได้ไม่แตกต่างกันด้วย แถมยังมีไขมันต่ำ สุขภาพจึงดีขึ้นอีกต่างหาก นอกจากนี้แล้วยังมีวิธีการเตรียมอาหารสุขภาพมาฝากคุณอีกนะคะ 1. นอกจากผักแล้วควรทานผลไม้ด้วยทุกวัน แต่ไม่จำเป็นต้องมีราคาแพงอะไร เพราะเราทานเพื่อเก็บเกี่ยวกับแร่ธาตุและวิตามินต่าง ๆ เข้าสู่ร่างกายให้ครบถ้วน แล้วควรสลับชนิดทานไปเรื่อยๆ ตามฤดูกาล ควรทานผลไม้ให้ครบทั้งห้าสีด้วยนะคะ 2. ทานถั่วและธัญพืชหลาย ๆ ชนิดคละเคล้ากันไป ไม่ว่าจะเป็น เมล็ดดอกทานตะวัน ถั่วต่าง ๆ เมล็ดฟักทอง ลูกเดือย ถั่วเปลือกแข็ง งา ฯลฯ…