Author: pure

  • ระวังภัย…จากการย่ำน้ำท่วมขังในฤดูฝน

    ระวังภัย…จากการย่ำน้ำท่วมขังในฤดูฝน

    ระวังภัย…จากการย่ำน้ำท่วมขังในฤดูฝน นอกจากโรคทางเดินหายใจที่เราควรต้องดูแลสุขภาพให้ดีกันในระยะหน้าฝนนี้แล้ว ภาวะน้ำท่วมขัง น้ำขังตามท้องถนนหรือริมฟุตบาทต่าง ๆ ก็เป็นเรื่องที่เราต้องระวังเช่นกัน เพราะภัยอันตรายมีอยู่มากที่มากับน้ำเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็น แมลงหรือสัตว์มีพิษต่างๆ อุบัติเหตุพลัดตกท่อ ไฟฟ้ารั่ว และเชื้อโรคต่าง ๆ รวมไปถึงสารเคมีที่น้ำนั้นได้ชะล้างออกมา หากเท้าของเราต้องสัมผัสกับน้ำเหล่านั้นอาจติดเชื้อหรือได้รับอันตรายได้ ดังนั้นในระยะที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงการย่ำเท้าในพื้นที่ที่มีน้ำท่วมขัง ควรดูแลตัวเองดังต่อไปนี้ค่ะ 1. หลีกเลี่ยงการเดินเท้าเปล่าในที่ที่มีน้ำท่วมขังหรือพื้นที่ชื้นแฉะ เพื่ออาจถูกเศษวัสดุ เศษแก้ว ตะปู ตำเอาจนเกิดบาดแผลและเชื้อโรคเข้าสู่บาดแผลได้ง่ายค่ะ 2. หากจำเป็นต้องแช่น้ำ อย่าอยู่ในน้ำนาน ๆ และต้องสวมรองเท้าบู้ทด้วยทุกครั้ง 3. หลังการสัมผัสกับน้ำสกปรกทั้งหลาย ควรรักษาความสะอาดของร่างกาย อาบน้ำฟอกสบู่ให้สะอาดและซับให้แห้ง 4. อย่าให้น้ำเหล่านั้นเข้าตาและเข้าปาก หากน้ำกระเด็นใส่ควรใช้น้ำดื่มจากขวดล้างออก โดยเทผ่านดวงตา แต่อย่าขยี้เพราะอาจทำให้เกิดแผลลุกลามได้ 5. ในระยะฤดูฝนควรระมัดระวังน้ำดื่มและอาหาร เพราะอาจเกิดโรคท้องเดินได้ง่าย 6. รักษาร่างกายให้มีสุขภาพแข็งแรง ปล่อยวางความเครียด เพราะยิ่งเครียดร่างกายก็จะยิ่งอ่อนแอลง การรักษาสุขภาพจิตให้แข็งแรงก็จะพลอยทำให้ร่างกายแข็งแรงด้วย หากสัมผัสถูกน้ำเหล่านี้แล้วเกิดมีอาการผิดปกติขึ้น ไม่ว่าจะเป็นตาแดง หรือเจ็บเคืองตา ถ่ายท้องเกินสามครั้งต่อวัน หรือถ่ายเป็นเลือด มีไข้สูง ปวดหัวและปวดเมื่อยหนักมาก ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาโดยด่วนค่ะ  

  • การเจริญสมาธิและแผ่เมตตา ช่วยให้สมองและจิตใจดีขึ้นได้

    การเจริญสมาธิและแผ่เมตตา ช่วยให้สมองและจิตใจดีขึ้นได้

    การเจริญสมาธิและแผ่เมตตา ช่วยให้สมองและจิตใจดีขึ้นได้ เรารู้กันมานานแล้วว่าการเจริญเมตตาภาวนา หรือการแผ่เมตตาอย่างเป็นประจำนั้นจะช่วยให้เรากลายเป็นคนที่มีจิตใจดีขึ้น มองโลกในแง่ดี นอนหลับก็ฝันดี  การแผ่เมตตาสามารถแผ่ไปได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ พืช ทุกชนิด แผ่ได้ถึงสรรพสิ่งทั้งปวง  เป็นกระแสแห่งความปราณี ความปรารถนาดี และความรัก ทำให้ผู้ปฏิบัติเองและสังคมรอบข้างมีความรักความเอาใจต่อกันและกันมากขึ้น มีสันติสุขเกิดมากขึ้นในโลก แม้แต่ผู้ที่เจ็บป่วยทางกายอย่างหนักหากได้ลองปฏิบัติสมาธิ สวดมนต์แล้วแผ่เมตตาก็สามารถบรรเทาอาการของโรค และทำให้สุขภาพจิตของผู้ป่วยดีขึ้นมาก  จากผลวิจัยของผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทวิทยาจากอเมริกา พบว่า พระภิกษุทิเบตที่ปฏิบัติธรรมมาเป็นเวลาหลายสิบปีนั้น จะมีคลื่นแกมมาที่สูงกว่าพระภิกษุสูงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบทั้งก่อนการปฏิบัติสมาธิ และยิ่งสูงขึ้นมากในระหว่างการนั่งสมาธิ โดยคลื่นแกมม่านี้มีความสัมพันธ์กับการทำงานของสมอง ที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ด้านบวก เช่น ความปิติสุข การมองโลกในแง่ดี การมีเมตตา ความอิ่มเอิบ  คนที่ฝึกสมาธิและแผ่เมตตาบ่อย ๆ อย่างต่อเนื่องจะมีการเปลี่ยนแปลงของสมองแบบถาวรในด้านบวก จึงทำให้เป็นคนที่จิตใจมีความสุข และเผื่อแผ่ความสุขนี้ให้กับผู้อื่นได้ด้วย ในหัวใจของคนทุกคนล้วนมีความเมตตาและความรักเป็นพื้นยืนอยู่แล้ว แต่สามารถยกระดับจิตใจให้สูงขึ้นได้อีก เพียงฝึกหักการยอมรับและเข้าใจความแตกต่างของผู้อื่น  ฝึกให้อภัย มองโลกในแง่บวก อารมณ์แจ่มใส และสวดมนต์นั่งสมาธิ และแผ่เมตตาอย่างน้อยวันละสามสิบนาทีทุกวัน  เมื่อจิตสงบแล้วจึงค่อยแผ่คลื่นความรักความปรารถนาดีไปยังผู้ใกล้ชิด และแผ่ไปได้ไม่มีประมาณ  ผู้ที่มีเมตตาจิตจากการหัดเจริญสมาธิแผ่เมตตาบ่อย ๆ จะยังให้เป็นผู้มีจิตใจเป็นสุข ตื่นก็สบาย หลับก็ฝันดี … การทำสมาธิแผ่เมตตาไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ…

  • เร่งสร้างและสะสมมวลกระดูก…ป้องกันโรคกระดูกพรุนกันเถอะ

    เร่งสร้างและสะสมมวลกระดูก…ป้องกันโรคกระดูกพรุนกันเถอะ

    เร่งสร้างและสะสมมวลกระดูก…ป้องกันโรคกระดูกพรุนกันเถอะ ผู้หญิงที่อายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไปแล้ว พบว่ากว่า 1 ใน 3 นั้นมีภาวะกระดูกพรุน ซึ่งก็คือภาวะที่กระดูกความเปราะบางและแตกหักได้ง่าย ส่งผลกระทบที่เลวร้ายต่อการดำเนินชีวิตมาก อาจประสบความทุกข์ทรมานและบางกรณีอาจทำให้เสียชีวิตได้ โรคนี้จึงถือเป็นโรคที่มีความร้ายแรงโรคหนึ่งที่เราจำเป็นต้องเรียนรู้เพื่อป้องกันตนเอง โดยธรรมชาตินั้นร่างกายคนเราจะมีการสร้างสิ่งที่สูญเสียหรือสึกหรอขึ้นมาทดแทนเสมอ แต่หญิงที่สูงอายุ วัยทองที่หมดประจำเดือน ผู้ที่ขาดสารอาหาร ดื่มเหล้าสูบบุหรี่จัด ไม่ออกกำลังกาย หรือใช้ยาสเตียรอยด์เป็นประจำ คนเหล่านี้จะมีสูญเสียมวลกระดูกเร็วกว่าการสร้างขึ้นใหม่ และในที่สุดก็ทำให้กระดูกเปราะบางลงและหักแตกได้ง่ายแม้ได้รับแรงกระแทกเพียงเล็กน้อย สัญญาณเตือนของภาวะกระดูกพรุนอาจสังเกตได้จากร่างกายที่เตี้ยลง ปวดหลังเรื้อรัง หลังค่อม แต่ก็ไม่ทุกราย บางรายไม่มีสัญญาณเตือนเลยจนกระทั่งกระดูกเกิดหักขึ้นมา หากเป็นกระดูกข้อใหญ่หรือสำคัญอย่างกระดูกสะโพก กระดูกสันหลังจะทำให้ผู้ป่วยทุกข์ทรมาน และอาจทำให้ผู้สูงอายุเสียชีวิตได้กว่าร้อยละ 20 หลังจากสะโพกหักได้หนึ่งปี พบว่าผู้ที่ดื่มน้ำอัดลมนั้นมีโอกาสกระดูกพรุนมากกว่าผู้ที่ไม่ดื่มถึงห้าเท่า เพราะในน้ำอัดลมมีทั้งคาเฟอีน กรดฟอสฟอรัส น้ำตาล และโซดาทั้งหลาย เป็นตัวการสำคัญที่เข้าไปขัดขวางการดูดซึมแคลเซียม กลไกร่างกายต้องดึงแร่ธาตุจำนวนมากออกจากกระดูก น้ำอัดลมจึงเป็นอีกสาเหตุสำคัญของภาวะกระดูกพรุน ในปัจจุบันนี้ยังมีวิธีรักษา ได้แต่เพียงยับยั้งการสูญเสียมวลกระดูกและรักษาไปตามอาการเท่านั้น ดังนั้นสิ่งที่ดีที่สุดก็คือควรเร่งสร้างและสะสมมวลกระดูกไว้ตั้งแต่วัยเด็ก ด้วยการดูแลร่างกายดังนี้ 1. ดื่มนมและอาหารที่มีแคลเซียม 2. ออกกำลังกายเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและกระดูกไว้เสมอ 3. งดการสูบบุหรี่ 4. หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ 5. หมั่นออกไปรับแสงแดดอ่อนตอนเช้าและตอนเย็น เพื่อให้ร่างกายได้รับวิตามินดี…

  • มาทำความเข้าใจ….กับโรคซึมเศร้า กันเถอะ!!!

    มาทำความเข้าใจ….กับโรคซึมเศร้า กันเถอะ!!!

    มาทำความเข้าใจ….กับโรคซึมเศร้า กันเถอะ!!! มีหลายคนเข้าใจผิดเกี่ยวกับโรคซึมเศร้าอยู่มาก วันนี้ลองมาทำความรู้จักกับโรคนี้กันค่ะ โรคซึมเศร้านี้เป็นโรคทางอารมณ์ชนิดหนึ่ง มีอาการซึมเศร้าในระดับที่แตกต่างกันไปตั้งแต่น้อยไปหามาก อาการก็คือจะมีอารมณ์ที่ไม่แจ่มใส เศร้าหมอง หดหู่ เป็นทุกข์ จนถึงท้อแท้ เบื่อชีวิต คิดว่าตนเองไม่มีค่า อยากตายและอาจฆ่าตัวตายได้ โดยสาเหตุของโรคนี้มาจากปัจจัยหลายด้านของจิตใจ ไม่ว่าจะเป็นสังคม สิ่งแวดล้อมและชีวภาพ โดยมักเกิดอาการหลังจากความสูญเสียหรือพลัดพรากที่กระทบกระเทือนใจอย่างแรง เช่น บุคคลที่รักตายจาก คนรักตีจาก ความกดดันด้านการเงิน การงาน การเรียน ความว้าเหว่ โดดเดี่ยว ขาดความรักความอบอุ่น เป็นต้น และผู้ป่วยโรคซึมเศร้าจะมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วยเช่น เบื่ออาหาร นอนไม่หลับ น้ำหนักลด ผอม ขาดสมาธิ ความจำเสื่อม อ่อนเพลีย เบื่อหน่ายกิจกรรมและการงานที่เคยชอบทำ ความรู้สึกทางเพศหมดไป อาจเก็บตัว ไม่เข้าสังคม ขาดความมั่นใจในตนเอง เครียดและวิตกกังวลง่าย เห็นแต่แง่ร้าย ไม่เห็นทางแก้ปัญหา โดยโรคนี้ที่มีอาการรุนแรงจะมีอาการทางจิตร่วมด้วย เช่น หลงผิด หูแว่ว มักเกิดกับผู้ใหญ่วัยต้นจนถึงวันกลางคน เกิดได้ง่ายไม่จำเป็นต้องมีความเครียดเป็นสาเหตุ เป็นอันตรายตรงที่อาจฆ่าตัวตายได้ทุกเมื่อ แต่โรคนี้สามารถตอบสนองการรักษาได้ดี ด้วยการใช้ยาและจิตบำบัดก็จะทำให้หายป่วยได้…

  • การดูแลตนเอง…เพื่อเตรียมรับสภาวะวัยทอง

    การดูแลตนเอง…เพื่อเตรียมรับสภาวะวัยทอง

    การดูแลตนเอง…เพื่อเตรียมรับสภาวะวัยทอง ช่วงวัยทอง คือ ช่วงวัยที่อยู่ระหว่างวัยเจริญพันธุ์ และวัยชรา ร่างกายจะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงด้วยการเสื่อมสภาพลง ไม่ว่าจะเป็น รังไข่ที่เริ่มเสื่อมลง การสร้างฮอร์โมนก็จะค่อย ๆ ลดลงไปเรื่อย ๆ จนกว่ารังไข่จะหยุดทำงาน ประจำเดือนจึงค่อยๆ หมดลงอย่างถาวร ช่วงระยะนี้จะมีอายุไม่เกิน 50 ปี โดยเฉลี่ย หากประจำเดือนหมดก่อนอายุ 45 ปีถือว่าหมดเร็ว แต่หากหมดหลังอายุ 55 ปีถือว่าหมดช้า ทั้งสองกรณีมีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งปากมดลูกเพิ่มขึ้น และมีปัญหาต่อสุขภาพด้านอื่น ๆ ด้วย อาการวัยทอง จะเกิดกับผู้หญิงที่หมดประจำเดือนโดยมีอายุเฉลี่ยประมาณ 50 ปี มีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น ร้อนวูบวาบบริเวณหน้าอก ลำคอ ใบหน้า ใจสั่น นอนไม่หลับ เหงื่อออก ความต้องการทางเพศลดลง ฯลฯ แต่หากมีการเตรียมตัวดูแลสุขภาพอย่างดี ตั้งแต่อายุเข้าสู่วัยทอง ก็จะทำให้คุณภาพการใช้ชีวิตดีขึ้นมาก หลักการดูแลตนเองเพื่อรับมือกับอาการวัยทองได้แก่ 1. ดูแลน้ำหนักตัวให้อยู่ในมาตรฐาน อย่างปล่อยให้อ้วนหรือผอมเกินไป หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสู หวานจัด หรือเค็มจัด ทุกมื้อทานอาหารที่มีประโยชน์ และให้หลากหลาย…

  • อันตรายจากโรคต้อลม ต้อเนื้อ ชนิดต่าง ๆ และการป้องกันโรค

    อันตรายจากโรคต้อลม ต้อเนื้อ ชนิดต่าง ๆ และการป้องกันโรค

    อันตรายจากโรคต้อลม ต้อเนื้อ ชนิดต่าง ๆ และการป้องกันโรค โรคต้อที่ดวงตานั้นแบ่งออกเป็น 3 ชนิดได้แก่ ต้อกระจก ต้อหิน ต้อลม (ต้อเนื้อ) ซึ่งแต่ละโรคก็มีสาเหตุและอาการรวมไปถึงการรักษาที่แตกต่างกันไป แต่วันนี้จะนำเอาโรคต้อลม และต้อเนื้อที่มีคนเป็นกันมากในประเทศไทยมาอธิบาย และสาธยายถึงวิธีปฏิบัติตัวให้ฟังกันค่ะ ทั้งต้อลมและต้อเนื้อนี้คือความเสื่อมของเยื่อบุตาที่ได้รับความระคายเคืองเป็นประจำ ได้แก่ แสงแดด ลม ฝุ่น ความร้อน จะทำให้เยื่อบุตานูนขึ้น มักเกิดบริเวณที่หัวตาติดกับกระจกตาดำ มักเห็นเป็นเนื้อสีเหลืองเล็กน้อยถึงชมพูแดง หากเยื่อที่นูนขึ้นนี้อยู่ในบริเวณตาขาวเรียกว่า ต้อลม แต่ถ้าลามเข้าไปในส่วนของกระจกตาดำ เรียกว่า ต้อเนื้อ ต้อลมนั้นไม่ทำอันตรายต่อสายตาแต่อย่างใด อาการจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงที่เป็น แต่หากเป็นแล้วไม่ยอมดูแลรักษา ยังใช้ชีวิตเหมือนเดิม ต้อลมก็อาจลุกลามกลายเป็นต้อเนื้อและอักเสบขึ้นได้ ซึ่งอาจมีอาการตาแดง สู้แสงไม่ได้ แสบตา เคืองตา น้ำตาลไหล เหมือนมีผงเข้าตาตลอดเวลา สายตาอาจเอียงเพิ่มขึ้น เห็นภาพซ้อนและมองไปในทิศต่าง ๆ ได้ไม่คล่องนัก และหากต้อเนื้อลุกลามเข้าไปในกระจกตาดำจะบังรูม่านตาจนทำให้ตามัวได้ หากอาการเป็นอังนี้ ควรรีบปรึกษาแพทย์โดยด่วน สิ่งแวดล้อมรอบตัวที่ทำให้เกิดโรคต้อลม ต้อเนื้อนั้นได้แก่ ดวงตาสัมผัสกับสิ่งระคายประจำ ทั้งความร้อน ความแห้ง ฝุ่นละออง แสงแดดมีไอร้อนและมียูวีสูง…

  • การชะลอความเสื่อม และลดอาการปวดข้อเข่า

    การชะลอความเสื่อม และลดอาการปวดข้อเข่า

    การชะลอความเสื่อม และลดอาการปวดข้อเข่า โรคข้อเข่าเสื่อม ความจริงแล้วมักจะเกิดในผู้สูงอายุเป็นหลัก เกิดขึ้นจากความเสื่อมของร่างกาย และตอนนี้มักพบว่าแม้วัยจะยังไม่เข้าสู่วัยชรา หากใช้ข้อเข่าอย่างไม่ถูกต้อง หรือมีน้ำหนักตัวเกินมาก ก็อาจมีปัญหาข้อเข่าเสื่อมได้ตั้งแต่วัยหนุ่มสาว ซึ่งสาเหตุของการมีข้อเข่าเสื่อมก่อนวัยนั้นก็คือ การใช้ขา หรือข้อเข่ามากเกินไป, ยืน เดิน วิ่ง ทำให้น้ำหนักของร่างกายกดลงบนเข่ามากขึ้น 3-4 เท่าตัว, ผู้ที่มีอาชีพต้องยกหรือแบกของหนัก, คนอ้วนน้ำหนักเกิน, ประสบอุบัติเหตุบริเวณเข่า, ติดเชื้อโรคข้อเข่าบางชนิด ฯลฯ เหล่านี้ ทำให้ข้อเข่าต้องแบกรับน้ำหนักเพิ่มขึ้นทุกขณะที่เดินหรือยืน ความเจ็บปวดจึงตามมาทุกย่างก้าว โดยอาการของโรคนี้เมื่อเริ่มแรกจะรู้สึก เมื่อยตึง ๆ ที่น่องและข้อพับเข่าก่อน เคลื่อนไหวไม่เต็มที่ ข้อขัด มีเสียงดังกรอบแกรนเวลาขยับข้อ บวม มีน้ำในข้อ ปวด จนถึงเข่าบิดหรือผิดรูปไปเลย ซึ่งอาการที่แสดงออกขึ้นอยู่ว่าเป็นมากหรือน้อย สำหรับผู้ที่มีอาการโรคข้ออักเสบแล้ว นอกจากการไปพบแพทย์เพื่อขอรับการรักษาก็ควรดูแลตัวเองและชะลอความเสื่อมของโรคข้อดังต่อไปนี้ค่ะ – เมื่อมีอาการปวดและบวมขึ้น ให้ใช้ความร้อนประคบบริเวณเข่า จะช่วยลดความเกร็งของกล้ามเนื้อรอบ ๆ เข่า ลดความปวดได้ – ชะลอความเสื่อมด้วยการสร้างกล้ามเนื้อเข่าให้แข็งแรง ด้วยท่าบริหารนี้ นั่งเก้าอี้หลังติดพนักแล้วเหยียดเข่าให้ตรง เกร็งค้างไว้ 10 วินาทีแล้วค่อย ๆ…

  • หัวเราะรักษาโรคได้สารพัด ลองดูสิ!!

    หัวเราะรักษาโรคได้สารพัด ลองดูสิ!!

    หัวเราะรักษาโรคได้สารพัด ลองดูสิ!! การอยู่ในบ้านหรือในสังคมที่อุดมความสดชื่น เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะสนุกครื้นเครงนั้น ช่วยให้อารมณ์สดใจ จิตใจมีสุขภาพดีขึ้นได้มากเลยนะคะ ยิ่งโดยเฉพาะในครอบครัวใดที่มีคนที่ป่วยหนักอยู่ การสร้างบรรยากาศที่ดีขึ้นในครอบครัว ช่วยลดความรู้สึกเจ็บปวดลงได้อย่างไม่น่าเชื่อ แต่เราหาเวลาแต่ละวันอยู่ร่วมกัน แล้วผลัดกันเล่าเรื่องราวขำขันแบ่งปันกันฟัง หรือถ้านึกมุขไม่ออกจะเปิดหนังตลก ทอล์คโชว์ขำ ๆ ดูด้วยกันก็ดีเช่นกัน การหัวเราะอย่างเป็นธรรมชาติทำให้ความรู้สึกเกร็งหรือฝืนหมดไป (การรับน้องหรือปฐมนิเทศพนักงานจึงมักเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ เพราะช่วยละลายพฤติกรรมให้เปิดใจเข้าหากันได้มากกว่า) อีกทั้งการหัวเราะยังสร้างบรรยากาศดีขึ้นในบ้าน กระชับความสัมพันธ์ให้ดีขึ้นได้ นอกจากนี้แล้วการหัวเราะมีประโยชน์ดังต่อไปนี้อีกค่ะ – การหัวเราะช่วยลดความเจ็บปวด ร่างกายผ่อนคลายมากขึ้น – รักษาอาการซึมเศร้า ช่วยให้ร่างกายหลั่งสารเซโรโทนิน และโดปามีนมากขึ้น จิตใจจึงสงบเยือกเย็น – เพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ป้องกันการติดเชื้อต่าง ๆ ได้ ที่เห็นได้ชัดก็คือป้องกันโรคหวัดได้ – การหัวเราะช่วยลดน้ำหนัก เพราะการหัวเราะแม้วันละเพียง 1-5 นาทีต่อวัน สักวันละสิบครั้ง จะช่วยลดความอยากอาหาร จึงมีผลต่อการควบคุมน้ำหนัก ซึ่งจะแตกต่างกับความเครียดอย่างสิ้นเชิง ยิ่งเครียดน้ำหนักก็ยิ่งขึ้นเพราะอยากอาหารมากกว่าเดิมนั่นเอง – การเปล่งเสียงหัวเราะช่วยบริหารกล้ามเนื้อหัวใจได้ เหมาะแม้สำหรับผู้ป่วยที่นอนบนเตียงและผู้สูงอายุด้วย – การหัวเราะช่วยบริหารกล้ามเนื้อบนใบหน้า และส่วนอื่น ๆ ที่กระเพื่อมขึ้นลงเวลาหัวเราะ เท่ากับได้บริหารร่างกายเบา ๆ…

  • ลองเดินเร็วกันดูไหม ไม่ปวดเข่าแล้วยังลดน้ำหนักได้แบบสบาย ๆ

    ลองเดินเร็วกันดูไหม ไม่ปวดเข่าแล้วยังลดน้ำหนักได้แบบสบาย ๆ

    ลองเดินเร็วกันดูไหม ไม่ปวดเข่าแล้วยังลดน้ำหนักได้แบบสบาย ๆ วันนี้ขอนำเอาวิธีการลดน้ำหนักและเพิ่มความแข็งแรงให้กับปอดและหัวใจของคุณ ด้วยการออกกำลังกายที่คุณสามารถทำตามได้ง่าย มีต้นทุนในการออกกำลังกายต่ำแล้วยังเหมาะแม้กับคนที่มีอาการปวดเข่าอีกด้วยนะคะ การออกกำลังกายที่จะนำมาเสนอในวันนี้ก็คือ “การเดินเร็ว” นั่นเองค่ะ การเดินเร็วเพียงวันละครึ่งชั่วโมงนั้นช่วยคุณลดน้ำหนัก และลดไขมันในเส้นเลือดได้อย่างแน่นอน มีขั้นตอนและเทคนิควิธีดังต่อไปนี้ค่ะ 1. เลือกเสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี และถุงเท้ารองเท้าที่ระบายความอับชื้นได้ง่าย 2. เลือกเดินในสถานที่ที่ปลอดโปร่ง อาจเป็นสวนสาธารณะ ในสนามโรงเรียน หรือสนามกีฬาก็ได้ แต่ไม่ควรเลือกริมถนนที่มีมลพิษมากเกินไป เพราะอาจเป็นอันตรายได้ 3. ขั้นแรกเมื่อเริ่มเดิน ควรยืนเส้นยืดสายเพื่ออบอุ่นร่างกายก่อน ช่วยลดอาการบาดเจ็บและการติดขัดของข้อต่อต่าง ๆ ได้ 4. การเดินที่ถูกต้องควรเดินเร็ว ๆ ก้าวเท้าถี่ ๆ ให้ได้ประมาณ 90-110 ก้าวต่อนาที จะช่วยกระตุ้นให้หัวใจและหลอดเลือดทำงานเพิ่มขึ้น มีการใช้พลังงานเพิ่มขึ้น ขจัดไขมันส่วนเกิน ซึ่งต้องใช้เวลาในการเดินอย่างต่ำครึ่งชั่วโมงขึ้นไปต่อครั้ง สัปดาห์ละ 3-4 หน 5. การเดินควรเดินให้ตามองตรงไปข้างหน้า คางตั้งครง เปิดไหล่ออก แขนทั้งสองเคลื่อนไหวข้างลำตัว และกะระยการก้าวเท้าให้เท่า ๆ กันไม่ถี่หรือห่างเกินไปด้วย การเดินเร็วนี้จะช่วยเผาผลาญแคลอรี่ได้ประมาณ 60 แคลอรี่ต่อการเดินหนึ่งชั่วโมง มีประโยชน์ต่อระบบการไหลเวียนโลหิต…

  • รับมือกับความโกรธอย่างได้ผล

    รับมือกับความโกรธอย่างได้ผล

    รับมือกับความโกรธอย่างได้ผล มนุษย์เราทุกคนมีความปรารถนาความสุข ความสบายใจ ความสมหวังได้ดังใจ จึงต้องการให้เหตุการณ์ บุคคล และสิ่งอื่น ๆ เป็นไปได้อย่างใจอยู่ตลอดเวลาจึงจะเกิดความสุข ความพึงพอใจขึ้น แต่ความจริงแล้วจะเป็นเช่นนั้นตลอดเวลาก็คงยาก เพราะสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัวเราก็ล้วนมีทั้งที่ได้ดังใจ และไม่ได้ดั่งใจ ทำให้เกิดอารมณ์ หงุดหงิด เศร้า โกรธ ผิดหวัง ไม่พอใจขึ้นได้ทั้งนั้น ความไม่ได้ดังใจรอบตัวนี้ หากเราจับเอามาเป็นอารมณ์บ่อย ๆ ก็อาจทำให้จิตใจพลอยหม่นหมอง หาความสุขได้ยาก แล้วยังอาจลามไปทำให้สุขภาพร่างกายเสียสมดุลได้ด้วย ดังนั้นก่อนที่เราจะมีอารมณ์โกรธเกรี้ยวฉุนเฉียวขึ้นมา ลองมาตั้งรับกันใหม่ด้วยเทคนิคเหล่านี้กันดีไหมคะ – ก่อนอื่นต้องเข้าใจอารมณ์โกรธเสียก่อน ว่าเป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้เมื่อถูกกระตุ้นจากสิ่งเร้าทั้งภายนอกและภายในใจ ประเด็นคือต้องรู้ตัวให้ทันว่าตัวเองกำลังโกรธอยู่จึงจะไม่ตกเป็นทาสของความโกรธ – ควรตระหนักว่าความโกรธนั้นมีผลเสียทั้งต่อตนเองและผู้อื่น เสียบุคลิกภาย เสียมิตรภาพ และเสียประโยชน์ไปอีกด้วย – ควรหลีกเลี่ยงปัจจัยที่ก่อให้เกิดอารมณ์โกรธ เช่น การอยู่ใกล้ ๆ คนช่างหาเรื่อง คนเจ้าอารมณ์ คนขี้โมโห คนเรื่องมาก ฯลฯ ที่อาจทำให้คุณอารมณ์เสียตามได้บ่อย ๆ – ระบายอารมณ์โกรธอย่างถูกวิธี เช่น การไปออกกำลังกาย การระบายความรู้สึกออกมาด้วยการเขียน ด้วยการวาดภาพ ด้วยการสูดลมหายใจเข้าปอดลึก…