Author: pure
-
หัวใจหลัก 3 ประการห่างไกลโรคกระดูกพรุน
หัวใจหลัก 3 ประการห่างไกลโรคกระดูกพรุน หากคุณอยู่ในช่วงอายุหรืออยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่จะมีปัญหาโรคกระดูกพรุน เรามาป้องกันไว้ก่อนดีกว่า ด้วยหัวใจหลัก 3 ประการดังต่อไปนี้ค่ะ หัวใจหลักข้อที่ 1 ทำให้ร่างกายได้รับวิตามินดีอย่างเพียงพอ เหตุผลก็เป็นเพราะว่าผิวหนังของเราจะผลิตวิตามินดีออกมาเมื่อถูกแสงแดด ส่วนอาหารที่เป็นแหล่งของวิตามินดีนั้นมีจำกัด พบได้น้อยในไขมันปลา และไข่เท่านั้น คนส่วนใหญ่ในโลกไม่ค่อยได้รับวิตามินดีจากแสงแดดเท่าไร เป็นเพราะหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นการที่ท้องฟ้ามีเมฆปกคลุมและมลพิษอยู่มาก การสวมเสื้อผ้าที่ปกปิดมิดชิด การใช้ครีมกันแดด ผู้คนเริ่มใช้ชีวิตในร่มกันมากขึ้น ฯลฯ โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่ผลิตวิตามินดีได้น้อยกว่าคนหนุ่มสาวถึงสี่เท่า จึงควรกินวิตามินดีชนิดที่เป็นอาหารเสริมช่วยลดความเสี่ยงในการกระดูกเปราะแตกได้ถึงร้อยละ 20 หัวใจหลักข้อที่ 2 ทานอาหารที่มีแคลเซียมและโปรตีนให้พอเพียง ด้วยการดื่มนม ทานผักใบเขียว และถั่วต่าง ๆ รวมทั้งผลไม้ที่มีแคลเซียมสูง น้ำแร่ก็ใช่ด้วย การที่ต้องเสริมโปรตีนเข้าไปด้วยนั้นก็เพื่อให้กล้ามเนื้อทั่วร่างมีความแข็งแรงมีมวลกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้น เพื่อช่วยกระดูกในการรับแรง เสริมแรงกระดูกมิให้แตกหักง่ายได้อีกประการหนึ่ง ในผู้สูงอายุที่ได้รับโปรตีนไม่เพียงพอก็จะมีความเสี่ยงเกิดภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรง และมวลกล้ามเนื้อลดลง จนส่งผลให้หกล้มกระดูกหักได้ง่าย หัวใจหลักข้อที่ 3 ออกกำลังกายที่มีการลงน้ำหนัก เพิ่มแรงกดให้กับกระดูก และสร้างความแข็งแกร่งให้กล้ามเนื้อ อย่างเป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นการวิ่ง การเดินขึ้นลงบันได กระโดดเชือก สเตปแอโรบิค ก็ได้เช่นกัน แล้วยังเสริมความคล่องตัว และความสมดุลของร่างกาย ลดโอกาสการหกล้มลงได้ร้อยละ 25-40…
-
เคล็ดวิธีช่วยให้นอนหลับง่ายขึ้น
เคล็ดวิธีช่วยให้นอนหลับง่ายขึ้น ความเครียด ความวิตกกังวลทำให้ผู้คนในสังคมเป็นโรคนอนไม่หลับ หรือนอนหลับได้ยากขึ้นกันมาก และมีแนวโน้มที่จะมีอาการหนักขึ้น และเพื่อประชากรที่เป็นโรคนี้มากขึ้นไปเรื่อย ๆ ด้วย บางคนนั้นอาจแค่นอนไม่หลับชั่วคราว แต่บางอาจนอนไม่หลับเป็นสัปดาห์หรือเดือน ๆ ได้เลย จนต้องพึ่งยานอนหลับจนเสพติดยานอนหลับโดยไม่รู้ตัว อย่าเห็นเป็นเรื่องเล่น ๆ นะคะ การนอนไม่หลับทำให้ร่างกายไม่ได้รับการพักผ่อน สมองจึงไม่สดใส มึนงง ขาดสมาธิในการเรียนหรือการทำงาน ร่างกายก็อ่อนล้าและอ่อนแอลงไปเรื่อย ๆ ทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง เกิดความผิดพลาดง่ายขึ้นและเกิดอุบัติเหตุง่ายขึ้นไปตามไปด้วย โดยสาเหตุสำคัญของปัญหานอนไม่หลับในสมัยนี้ก็คือ ความเครียด ความวิตกกังวล การดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน ความเจ็บปวดด้วยโรคต่าง ๆ การติดยา หรือปัญหาเกี่ยวกับโรคทางระบบประสาทและจิตเวช เป็นต้น ซึ่งผู้ที่มีปัญหานอนไม่หลับมาเป็นเวลานาน ๆ ควรขอรับคำปรึกษาจากแพทย์ ส่วนผู้ที่เพิ่งเริ่มมีอาการนอนไม่หลับ ลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตามเคล็ดลับต่อไปนี้ดูนะคะ – เข้านอนให้เป็นเวลาและตื่นให้เป็นเวลา ไม่ว่าจะง่วงหรือไม่ง่วงนอนก็ตาม – กำหนดระยะเวลาการนอนให้เพียงพอต่อความต้องการ ทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 7-8 ชั่วโมงต่อคืน – จัดบรรยากาศในห้องนอนให้เหมาะสมทั้งแสงสว่าง ความเย็นกำลังพอดี ที่นอนไม่นุ่มหรือแข็งเกินไป หมอนที่มีขนาดความนุ่มพอดี เงียบไม่มีเสียงรบกวน และไม่มีเครื่องใช้ไฟฟ้า อิเลคทรอนิกส์ทั้งหลายรบกวนด้วยจะดีมาก –…
-
ปรับเปลี่ยนอิริยาบถ…เพื่อป้องกันอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
ปรับเปลี่ยนอิริยาบถ…เพื่อป้องกันอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ แม้เดี๋ยวนี้คนเราจะทำงานนั่งโต๊ะกันมากขึ้น แต่ก็ใช่ว่าอาการเมื่อยล้าหรือปวดเมื่อยจะน้อยลง แต่ตรงกันข้ามกลับเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม เพราะคนสมัยนี้กล้ามเนื้อและร่างกายอ่อนแอกว่าคนทำงานสมัยก่อน หรือผู้ใช้แรงงานมากนัก การที่กล้ามเนื้อขาดความแข็งแรงนั้น เมื่อต้องออกแรงอย่างหนักหรือการอยู่ในท่าใดท่าหนึ่งนาน ๆ หรือการเกร็งกล้ามเนื้อนาน ๆ ทำให้เกิดการบีบหรือกดหลอดเลือดที่มาเลี้ยงกล้ามเนื้อบริเวณนั้น ออกซิเจนมาช่วยเผาผลาญอาหารทำไม่ได้เต็มที่ ร่างกายจึงต้องเปลี่ยนไปใช้กระบวนการที่ไม่ใช้ออกซิเจน จึงทำให้เกิดการคั่งของกรดแลกติกในกล้ามเนื้อชุดนั้น อาการปวดและล้ากล้ามเนื้อจึงตามมา ยกตัวอย่างอิริยาบถที่สร้างความเมื่อยล้าได้มาก ได้แก่ อาการปวดกล้ามเนื้อบ่าจากการเกร็งกล้ามเนื้อไว้เพื่อสะพายกระเป๋าไม่ให้หลุด หรือการสวมรองเท้าส้นสูงที่ต้องเขย่งเท้าไว้นานๆ ทำให้ปวดเมื่อยน่องได้ ฯลฯ ซึ่งอาการเหล่านี้หากไม่ได้รับการปรับแก้ไขให้เหมาะสมจะทำให้อาการปวดนั้นเรื้อรัง รักษายากได้ ทุกวันเมื่อมีอาการปวดเมื่อยล้าขึ้น ให้พักผ่อนกล้ามเนื้อชุดนั้นแล้วออกกำลังกายด้วยการยืดเหยียดกล้ามเนื้อ การทำเช่นนี้จะช่วยป้องกันและบรรเทาอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ลดการตึงตัว เพิ่มการไหลเวียนของเลือด และเพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อได้ เพียงคุณค่อย ๆ ยืดกล้ามเนื้อชุดนั้นออกช้า ๆ จนตึงแล้วค้างไว้ 10 วินาทีแล้วปล่อยออกเท่านั้น หากต้องการป้องการอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อก็ทำได้โดย ไม่อยู่ในท่าใดท่าหนึ่งนาน ๆ เช่น ก้มหน้าอ่านหนังสือหรือนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์นานเกินไป ควรหมั่นขยับตัวเปลี่ยนอิริยาบถบ้าง มิให้กล้ามเนื้อคอต้องเกร็งค้างตลอดเวลา ไม่ควรสะพายกระเป๋าหนักเกินไป ควรสลับบ่าหรือใช้มือมาหิ้วบ้าง ไม่ควรสวมรองเท้าส้นสูงนาน ๆ หรือนั่งทับขาข้างใดข้างหนึ่งนานเกินไปด้วย ฯลฯ รวมไปถึงอวัยวะต่าง ๆ ที่คุณใช้งานประจำด้วย เครื่องจักรเครื่องยนต์ต่าง ๆ…
-
รักษากำลังใจของตัวเองเข้าไว้ ฝ่าฟันได้ทุกอุปสรรค
รักษากำลังใจของตัวเองเข้าไว้ ฝ่าฟันได้ทุกอุปสรรค กำลังใจเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการดำเนินชีวิตมาก ไม่ว่าจะเป็นด้านใดก็ตาม ทั้งเรื่องของการงาน ครอบครัว การเลี้ยงดูลูก ฯลฯ ยิ่งมีกำลังใจมากก็ยิ่งมีความมานะพยายาม มีพลังจิตที่เข้มแข็งมากขึ้นในการเอาชนะอุปสรรคและแก้ไขปัญหา ความทุกข์ยากทั้งหลายก็จะผ่านพ้นไปได้ด้วยดี อีกทั้งในสังคมปัจจุบันนี้ที่ทุกคนในสังคมต่างก็ดิ้นรนต่อสู้กับชีวิตเพื่อความอยู่รอด การให้กำลังใจตนเองจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมากกว่าการรอคอยจากผู้อื่น แม้ในเวลาที่อาจจะผ่านไปได้ยาก แต่หากคุณได้ตระหนักถึงสิ่งเหล่านี้แล้ว ก็แน่ใจได้ว่าคุณจะสามารถผ่านอุปสรรคทุกอย่างได้อย่างแน่นอน – ตระหนักถึงความหวังและเป้าหมายในอนาคตไว้เสมอ ๆ ไม่ว่าสิ่งที่ปรารถนาจะเป็นสิ่งใด แม้ว่าวันนี้จะพลาดหรือผิดหวังไปแล้ว แต่หากยังมีชีวิตอยู่ พรุ่งนี้ก็ยังมีโอกาสเสมอ – เวลาที่วิตกกังวลกับปัญหา ให้ระลึกถึงความสำเร็จที่คุณได้เคยแก้ไขปัญหา ฝ่าฟันอุปสรรคได้สำเร็จมาแล้ว เมื่อต้องมาเจออุปสรรคชิ้นใหม่ ๆ ความทุกข์ครั้งใหม่อีก ให้บอกตัวเองเอาไว้ว่าต้องผ่านมันไปได้อย่างแน่นอน เพราะเราเคยทำสำเร็จมาแล้วในอดีต – เวลาตกที่นั่งลำบากให้มองคนที่ต่ำกว่าหรือแย่กว่า คุณยังดีกว่าเขามาก ตรงที่ยังมีอวัยวะที่สมบูรณ์ครบ 32 หรือลองเรียนรู้บทเรียนหรือชีวิตคนอื่นที่ทุกข์ยากลำบาก ว่าเขาผ่านมาได้อย่างไร เอาไว้เป็นกำลังใจเพื่อต่อสู้กับปัญหาของตนเอง เช่นคนที่เคยลำบากมาก่อนเรา – เวลาที่ชีวิตประสบปัญหา หาทางออกไม่เห็น ให้ระลึกถึงคนที่รักคุณและห่วงใยคุณให้มาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นลูก ๆ คนรัก หรือครอบครัว เพื่อนฝูง เพื่อให้มีกำลังใจลุกขึ้นมาต่อสู้เอาชนะอุปสรรค ความทุกข์ยากลำบากอีกครั้ง เพื่ออนาคตและชีวิตที่ดีของคนที่คุณรัก หากคุณสามารถเอาชนะอุปสรรคไปได้…
-
มาวิ่งจ๊อกกิ้งกันเถอะค่ะ !!!
มาวิ่งจ๊อกกิ้งกันเถอะค่ะ !!! ช่วงเวลาที่อากาศดี ๆ ฝนไม่ตกเท่าไรอย่างระยะปลายหน้าฝนเข้าสู่หน้าหนาวนี้ ตามสนามกีฬากลางแจ้งมักจะพบนักวิ่งที่พากันวิ่งออกกำลังกาย หลังจากอัดอั้นกันมากในฤดูฝนที่ฝนตกเฉอะแฉะจนไม่ได้ออกกำลังกายกันเลย การวิ่งจ๊อกกิ้งนั้นเป็นกีฬาที่แทบไม่ต้องมีต้นทุนอะไรเลย นอกจากรองเท้าดี ๆ สักคู่หนึ่งแล้ว แต่กลับเป็นกีฬาที่ให้ประโยชน์มากมาย ช่วยป้องกันโรคร้ายต่าง ๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคไต อัมพฤกษ์ อัมพาต เบาหวาน โรคอ้วน ฯลฯ ดังนั้นแล้วก่อนที่สุขภาพจะแย่เพราะไปรับประทานอาหารที่มีไขมันสูงมากเกินไป จึงควรหันมาออกกำลังกายกันดีกว่าค่ะ แม้ในระยะแรก ๆ จะเหนื่อยมากกับการวิ่ง อาจต้องวิ่งไปเดินไปอยู่บ้าง แต่เมื่อหัดวิ่งไปมาก ๆ เข้าก็จะเริ่มวิ่งได้นานขึ้นจนกลายเป็นวิ่งเป็นชั่วโมงได้สบาย ๆ เลยทีเดียว คู่มือสำหรับนักวิ่งหน้าใหม่นั้นก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไรมาก เพียงเลือกซื้อรองเท้าสำหรับวิ่ง หรือรองเท้าที่สามารถรองรับแรงกระแทกได้ดี สวมเสื้อผ้าที่สบายและระบายเหงื่อได้ง่าย และควรเลือกสถานที่วิ่งเป็นพื้นที่เรียบ ไม่ว่าจะเป็นบนฟุตบาทที่ปลอดภัยและมีพื้นผิวราบเรียบ บนพื้นถนนที่ราดยางหรือคอนกรีตป้องกันเท้าพลิกหรือสะดุด ขณะที่ไปวิ่งไม่ควรทานอาหารจนอิ่มมากเกินไป ควรทานอาหารเบา ๆ ก่อนวิ่งสักครึ่งชั่วโมงเพื่อให้อาหารได้ย่อยก่อน ดื่มน้ำล่วงหน้าแต่ไม่ต้องมากนัก และหลังการวิ่งทุกครั้งให้ดื่มน้ำเข้าไปทดแทนเหงื่อที่ไหลออกไป ทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นขึ้นด้วย การวิ่งจ๊อกกิ้งเป็นการออกกำลังกายแบบแอโรบิก ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ทำให้หัวใจบีบส่งเลือดได้ดีขึ้น เลือดจึงไหลเวียนไปเลี้ยงกล้ามเนื้อและอวัยวะต่าง ๆ ทั่วร่างกายอย่างมีประสิทธิภาพ หลอดเลือดขยายตัวและยืดหยุ่นมากขึ้น…
-
ครอบครัวอบอุ่น สังคมน่าอยู่ ด้วยการมีน้ำใจให้กัน
ครอบครัวอบอุ่น สังคมน่าอยู่ ด้วยการมีน้ำใจให้กัน หากมนุษย์เราสามารถมีชีวิตอยู่คนเดียวได้จริง ๆ โลกนี้คงไม่ต้องสร้างมาให้เราเกิดมาในสังคมที่มีคนอื่นอยู่หรอก นั่นเพราะความจริงก็คือเราจำเป็นต้องใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่น เกิดมาก็ต้องมีครอบครัวช่วยเหลือดูแลให้ข้าวให้น้ำ โตมาหน่อยก็ต้องเข้าโรงเรียนเรียนหนังสือให้ครูสอน เรียนจบออกมาก็ต้องเข้าไปทำงานร่วมกับผู้อื่น แล้วอย่างนี้เราจะเกิดมาคนเดียวได้อย่างไร ดังนั้นการมีชีวิตอยู่นั้นก็ควรต้องคิดถึงคนอื่น และให้ความช่วยเหลือบ้าง เมื่อผู้อื่นมีทุกข์เราก็ให้ความช่วยเหลือกัน เวลาที่เรามีทุกข์เราก็ต้องการความช่วยเหลือจากผู้อื่นด้วยเช่นกัน ดังนั้นการเอื้อเฟื้อ ร่วมสุขร่วมทุกข์ รับฟังปัญหาซึ่งกันและกัน ช่วยกันแก้ไขปัญหา ให้กำลังใจกันและกัน คือสิ่งที่เราและทุกคนในสังคมต้องการมากที่สุดนั่นเอง แม้ทุกคนจะพยายามแก้ไขปัญหาให้ตัวเอง จัดการกับความทุกข์ของตนเอง แต่บางครั้งปัญหาของเราก็อาจจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นบ้าง ดังนั้นในชุมชนหรือครอบครัวก็จำเป็นต้องให้ความเห็นใจและความช่วยเหลือกันและกัน ดังต่อไปนี้ 1. ไถ่ถามและให้ความเอาใจใส่กับคนใกล้ชิดบ้าง เมื่อสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็น ใบหน้าที่อาจดูเศร้าหมอง หรือแม้แต่การไต่ถามสารทุกข์สุกดิบของครอบครัวหรือการทำงานว่าเป็นอย่างไร ฯลฯ 2. ช่วยหาต้นเหตุแหล่งปัญหา และทำให้ผู้ที่กำลังเผชิญทุกข์อยู่เข้าใจถึงสาเหตุของปัญหาที่เกิดขึ้นนั้น 3. ช่วยกันคิดหาทางออกให้กับปัญหานั้น ๆ อาจช่วยกันหาหลาย ๆ ทาง ชั่งน้ำหนักของปัญหา และแก้ไขปัญหาตามลำดับความสำคัญ และความยากง่าย แล้วใครบ้างที่จะให้ความช่วยเหลือในแต่ละปัญหาได้บ้าง รวมไปถึงจะเตรียมตัวในการแก้ไขปัญหาและขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นได้อย่างไร ฯลฯ เหล่านี้เป็นการดูแลกัน แม้จะยังแก้ไขปัญหาไม่ได้ แต่ก็ได้ช่วยให้ผู้ที่ประสบปัญหามีกำลังใจสู้ชีวิตได้มากขึ้นแล้ว การให้ความช่วยเหลือนั้นแม้จะไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาทั้งหมด แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย หรือแม้กระทั่งทำอะไรกับปัญหาไม่ได้เลย การคอยให้กำลังให้…
-
7 เคล็ดลับสุดยอดคนไม่ยอมแก่
7 เคล็ดลับสุดยอดคนไม่ยอมแก่ แม้จะมีคนที่ยอมรับความแก่ชราได้ แต่ไม่ใช่ทุกคนหรอกใช่ไหม อีกทั้งคำว่าแก่ ก็ไม่ได้หมายถึงความแก่ทางกายอย่างเดียวด้วย เพราะอันที่จริงแล้วความแก่นั้นวัดกันที่ใจนั่นเองค่ะ หากคุณไม่อยากเป็นคนที่แก่กว่าวัย ลองมาทำตามเคล็ดลับดังต่อไปนี้กันค่ะ – ใส่ความรักไว้ในหัวใจเสมอ และต้องเริ่มต้นด้วยการรักตัวเองก่อน ความปรารถนาที่จะให้ผู้อื่นมารักตนเองนั้น เริ่มจากการรักตนเองก่อน คนไม่ยอมรับตัวเอง ไม่พอใจหรือเคารพ ตลอดจนรู้คุณค่ในตัวเองแล้ว จะไม่มีวันรักใครได้เลย แล้วอย่างนี้ใครจะมารักล่ะ ผู้ที่มีความรักในหัวใจจะมีแต่ความเมตตาให้ผู้อื่น และจะนำความสุขกลับมาสู่ตนเองด้วย – หัดใช้แรงงาน ใช้ร่างกายให้เหงื่อออก ด้วยการเล่นกีฬาหรือทำกิจกรรมที่มีประโยชน์อื่น ๆ เช่น ทำความสะอาดบ้าน ทำสวน ล้างรถ ฯลฯ การออกกำลังกายทำให้กล้ามเนื้อได้ทำหน้าที่ของตัวเอง เพราะส่วนใดที่ไม่ได้ทำหน้าที่ ส่วนนั้นจะเสื่อมโทรมและแก่ก่อนวัยนั่นเอง – หลีกเลี่ยงอาหารที่ต้องเผาผลาญมาก ๆ เช่น อาหารทอดที่มีไขมัน ไขมันทรานส์ คอเลสเตอรอลสูง ๆ รวมไปถึงอาหารที่มีอนุมูลอิสระสูง เช่น ของปิ้งย่าง เหล้า เบียร์ บุหรี่ ฯลฯ หันมาให้อาหารดี ๆ กับตนเองทั้งร่างกายและจิตใจ อ่านหนังสือที่ทำให้จิตใจดี สบายใจ ฟังเพลงไพเราะ…
-
อยู่กับคู่อย่างมีความสุข
อยู่กับคู่อย่างมีความสุข คู่สามีภรรยาที่ต้องอยู่ร่วมบ้านเดียวกันตลอดเวลา ก็ย่อมต้องมีปัญหาขัดแย้งกันเป็นเรื่องธรรมดา เพราะทุกคนย่อมมีความแตกต่างกัน การแก้ปัญหาก็คือการจัดการความแตกต่างระหว่างคนสองคนให้อยู่ร่วมกันให้ได้ ไม่ใช่การปรับเปลี่ยนใครคนใดคนหนึ่งเพื่อตามใจใครอีกคน แล้วจะจัดการความแตกต่างนี้อย่างไรดี มาลองดูทีละข้อค่ะ – คุยกันค่ะ ว่าที่คิดไม่เหมือนกันนั้นคือเรื่องใด แล้วบอกกันอย่างตรงไปตรงมาว่า แต่ละคนต้องการอะไร – หากมีปัญหาให้แก้ไขร่วมกัน หรือหากมีหลายปัญหาให้พูดคุยกันแล้วแก้ไปทีละเรื่องด้วยความเข้าใจกัน – มีปัญหากันเรื่องใด ให้นำเอาสิ่งที่เขาคิดหรือพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้องมาพูดคุยกัน อย่าตำหนิตัวบุคคล แต่ให้คุยกันที่พฤติกรรม จะเป็นการแก้ปัญหาเชิงบวกมากกว่า – ระหว่างสามีและภรรยาควรหาเวลาเพื่อคุยกันในเรื่องสำคัญ หรือเรื่องที่ต้องตัดสินใจร่วมกัน อย่าให้มีเรื่องอื่นมารบกวนได้ ให้ต่างฝ่ายต่างพูดได้อย่างอิสระ ไม่ตัดสินผิดหรือถูก ให้พูดออกมาโดยไม่มีทิฐิ ความถือดีหรือความอยากเอาชนะ ยอมรับความคิดของกันและกัน แม้ว่าอีกฝ่ายจะมีการกระทำหรือความคิดที่แตกต่างจากเรา – กล่าวคำขอโทษ การขอโทษทำให้บรรยากาศดีขึ้น เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้ขอโทษเราคืนด้วย ใช้คำพูดอย่างระมัดระวัง ไม่ตั้งเงื่อนไข ต่อว่าหรือดูถูก เพราะจะยิ่งดูเหมือนทำไปเพราะประชด การขอโทษรักษาสัมพันธภาพในครอบครัวไว้ได้มากกว่าการมีเหตุผลตลอดเวลา – จริงใจในการแก้ปัญหา ไม่สักแต่ขอโทษไปวัน ๆ อีกทั้งยังควรสร้างบรรยากาศดี ๆ ขึ้นระหว่างกันและกัน อาจจะเป็นการไปเที่ยวต่างจังหวัดเปลี่ยนบรรยากาศ ให้ได้มีเวลาทบความเรื่องราวหลายอย่างที่ผ่านมาด้วย – มองตัวเองให้มากเข้าไว้ การปรับตัวเข้าหากันคือการปรับที่ตัวเองเข้าหาผู้อื่น เราไม่สามารถปรับแต่ผู้อื่นเข้าหาเราได้หรอก ชีวิตคู่ที่เข้าใจกันและราบรื่นจะทำให้ชีวิตด้านอื่น…
-
วิธีจัดการความโกรธในเด็ก
วิธีจัดการความโกรธในเด็ก ที่เค้าบอกกันว่าเด็ก ๆ จะแสดงพฤติกรรมเลียนแบบผู้ปกครองหรือพ่อแม่นั้น เรื่องนี้มีความจริงอยู่มากทีเดียวค่ะ สังเกตได้ว่าเด็ก ๆ ที่มีอารมณ์โกรธเกรี้ยวหรือก้าวร้าวนั้น เหตุเพราะมาจากการเลียนแบบพฤติกรรมของผู้ใหญ่ที่อยู่ใกล้ตัว ความโกรธไม่ได้เป็นเรื่องผิด คนเราทุกคนมีสิทธิ์ที่จะโกรธได้ทั้งนั้น แต่การแสดงความโกรธออกมาอย่างไม่เหมาะสมต่างหากที่อาจเป็นปัญหากับในด้านของพฤติกรรมที่ก้าวร้าว เข้ากับคนอื่นไม่ได้ จนสร้างปัญหากับตัวเองในท้ายที่สุด วิธีจัดการความโกรธสำหรับเด็กที่จะนำมาเสนอนี้ คุณผู้ปกครองหรือพ่อแม่ของเด็ก ควรจัดการกับตัวเองให้ได้ก่อนนะคะ ค่อยไปสอนลูก ๆ เพราะหากคุณไม่เป็นตัวอย่างที่ดีแล้ว เด็กก็คงไม่ทำตามสิ่งที่คุณสอนหรอกค่ะ 1. สอนให้เด็กแสดงความโกรธอย่างเหมาะสม เช่น ให้พูดออกมาให้ชัด ๆ แทนการกระทำที่ก้าวร้าว ว่า หนูโกรธใคร โกรธเพราะอะไร เช่น พี่ตีหนู น้องขโมยดินสอของผมไป ฯลฯ 2. ยับยั้งการแสดงความโกรธที่ก้าวร้าว เวลาเด็ก ๆ อาละวาดวิธีแสดงออกที่ดีที่สุดสำหรับพ่อแม่ก็คือ การเพิกเฉย 3. ช่วยให้เด็กนึกให้ออกว่าทำไมจึงโกรธ เกิดอะไรขึ้นจึงโกรธ หรือให้เด็กได้นึกถึงอารมณ์ที่อยู่เบื้องหลังความโกรธให้ออก 4. ยอมให้เด็กได้โกรธ ซึ่งเป็นเรื่องจำเป็นที่พ่อแม่ควรสื่อให้รู้ว่าความรู้สึกของเด็กได้รับการยอมรับและเปิดโอกาสให้เด็กได้แสดงความรู้สึกออกมา 5. สอนให้เด็กได้จัดการความโกรธของตนเองอย่างเหมาะสม เช่น ถ้าหนูกำลังโกรธอยู่ ไปอาบน้ำให้เย็น ๆ ก่อนแล้วเราค่อยมาคุยกัน 6.…
-
ดูแลตนเองอย่างไร ห่างไกลท้องผูก
ดูแลตนเองอย่างไร ห่างไกลท้องผูก หากเราไม่ได้ถ่ายอุจจาระทุกวัน กากอาหารหรืออุจจาระที่คั่งค้างอยู่ในลำไส้ใหญ่นั้นจะทำให้รู้สึกอึดอัด ท้องอืด แต่ถ้าค้างอยู่มากและเป็นเวลานาน จะจับตัวเป็นก้อนแข็ง ถ่ายลำบากมาก แบบที่เราเรียกว่าท้องผูกนั่นเอง อุจจาระที่ค้างอยู่ในลำไส้นาน ๆ จะเกิดการบูดเน่าและสารพิษจากการเน่าเสียของกากอาหารนี้จะถูกดูดซึมกลับเข้าสู่ร่างกายอีกครั้ง ยิ่งอุจจาระค้างอยู่ในร่างกายนานเท่าไร ร่างกายก็ยิ่งได้รับสารพิษเพิ่มขึ้น จนทำให้เกิดปัญหาร่างกายอื่น ๆ ตามมา ดังนั้นเราจึงไม่ควรปล่อยให้ร่างกายเรามีปัญหาท้องผูกอีกต่อไป ด้วยการดูแลตนเองให้ห่างไกลจากอาการท้องผูกด้วยการดูแลสุขภาพของตนเองดังต่อไปนี้ – ทานอาหารที่มีเส้นใยอาหารให้มาก อย่างเช่นผักสด ผลไม้สดต่าง ๆ เพราะเส้นใยเหล่านี้จะไม่ถูกย่อย จึงช่วยดูดซึมน้ำในลำไส้ใหญ่ไว้ให้อุจจาระนิ่มและเพิ่มปริมาณอุจจาระให้มากขึ้น การขับถ่ายจึงเป็นรอบปกติ ไม่ตกค้างนาน – ดื่มน้ำให้มาก ประมาณสองลิตรต่อวันขึ้นไป ช่วยหล่อลื่นอุจจาระให้นิ่ม ถ่ายออกจากร่างกายง่าย – ออกกำลังกายให้มากขึ้น อย่างน้อยวันละสามสิบนาที ยิ่งโดยเฉพาะการเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อมัดใหญ่อย่างต่อเนื่อง ช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ใหญ่ ซึ่งจะบีบตัวให้ถ่ายอุจจาระออกมาได้อย่างง่ายดายขึ้น การขับถ่ายเป็นเรื่องสำคัญพอ ๆ กับการเลือกทานอาหาร จึงควรฝึกให้ร่างกายได้ขับถ่ายอย่างเป็นเวลา และสม่ำเสมอ ผู้ที่มักมีอาการท้องผูกควรนำเอาเคล็ดลับข้างต้นนี้ไปใช้ อาการท้องผูกจะทุเลาขึ้นแน่นอน แต่หากยังไม่ดีขึ้น ให้ไปพบแพทย์เพื่อขอรับคำปรึกษาจะดีกว่าค่ะ อย่างปล่อยทิ้งไว้จนเกิดปัญหากับร่างกายส่วนอื่นเลยค่ะ