Author: pure
-
โรคเรื้อน…อยู่ร่วมกันสังคมได้ ไม่น่ากลัว
โรคเรื้อน…อยู่ร่วมกันสังคมได้ ไม่น่ากลัว ตั้งแต่โบราณมา ผู้ที่ป่วยเป็นโรคเรื้อนหรือถูกสงสัยว่าจะเป็นนั้นมักจะได้รับความรังเกียจจากคนในชุมชนหรือคนใกล้ชิดเพราะความเชื่อผิด ๆ ทำให้ผู้ป่วยโรคเรื้อนได้รับความทุกข์ ความทรมานจากความกลัว ความรังเกียจของผู้อื่น ทั้งที่ความจริงโรคนี้ไม่ได้ติดต่อกันได้ง่ายสักเท่าไรเลย อีกทั้งทุกวันนี้คนที่เป็นโรคเรื้อนแม้จะยังมีอยู่ แต่ก็น้อยลง และเป็นโรคที่รักษาให้หายขาดได้ อยู่ร่วมในสังคมได้ไม่น่ากลัวด้วย ด้วยความที่โรคนี้มีผู้ป่วยน้อยลงไปมากแล้ว จึงมักไม่ค่อยมีผู้ที่รู้ตัวเท่าไรว่ากำลังติดเชื้อแบคทีเรียทีทำให้เกิดโรคเรื้อน วิธีการสังเกตก็คือ ผิวหนังจะเป็นวงด่างสีขาวหรือสีเข้มกว่าผิวปกติ มีอาการชา หรือเป็นผื่น แผ่นนูน เป็นตุ่มหรือวงขอบแดง ไม่มีอาการคัน แต่หากพบแล้วควรรีบเข้ารับการรักษามิเช่นนั้นอาจทำให้พิการได้ ผู้ที่มีความเสี่ยงในการติดเชื้อโรคเรื้อนก็คือ ผู้ที่เข้าไปสัมผัสกับผู้ป่วยโรคเรื้อนระยะติดต่อ ที่ไม่ได้รักษาตัว โดยทุกคนมีโอกาสในการรับเชื้อทั้งสิ้น แต่มีโอกาสเกิดเป็นโรคได้เพียงร้อยละสามเท่านั้น ผู้ที่มีภูมิต้านทานต่อโรคเรื้อผิดปกติจึงจะเป็นโรคนี้ได้ สรุปก็คือ โรคนี้ไม่ได้เป็นโรคที่จะติดต่อกันได้ง่าย ๆ และโรคนี้ไม่ได้ติดต่อทางกรรมพันธุ์ ไม่ติดต่อทางน้ำหรืออาหารแต่อย่างใดเลย โรคเรื้อนเป็นโรคที่รักษาได้หาย โดยผู้ป่วยควรเข้ารับรักษาตั้งแต่ระยะเริ่มแรก โดยจะใช้เวลาประมาณหกเดือน หากมีอาการมากอาจใช้เวลาการรักษาสองปี ผู้ป่วยสามารถอยู่อาศัยภายในครอบครัวได้ตามปกติ เพียงทานยารักษาโรคผ่านไปได้ในระยะสัปดาห์แรกเท่านั้นก็จะไม่แพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่นแล้ว การรักษาก็สามารถเข้ารับบริการได้ตามโรงพยาบาล สถานีอนามัย ทั่วไป โรคนี้ไม่ได้ติดเชื้อกันได้ง่าย ๆ อย่างที่คิด จึงไม่ควรรังเกียจผู้ป่วยโรคนี้ ผู้ป่วยโรคนี้ที่อยู่ในระหว่างการรักษา และผู้ที่รักษาหายแล้ว สามารถกินข้าว พูดคุย อยู่บ้านอยู่ร่วมกันกับคนในครอบครัวและผู้อื่นได้ตามปกติ อีกทั้งครอบครัวและสังคมยังควรเป็นกำลังใจให้กับผู้ป่วย ไม่ควรแสดงความรังเกียจ มิเช่นนั้นอาจทำให้ผู้ป่วยหมดกำลังใจที่จะเข้ารับการรักษา…
-
ความเครียด…อาจเป็นต้นเหตุของโรคผิวหนังได้หลายชนิด
ความเครียด…อาจเป็นต้นเหตุของโรคผิวหนังได้หลายชนิด ด้วยการใช้ชีวิตในทุกวันนี้ทำให้เกิดความเครียดในหมูคนไทยกันมากขึ้น ก่อให้เกิดผลเสียหลายประการไม่ว่าจะเป็น ทำให้ไม่มีสมาธิในการทำงาน อารมณ์ไม่มั่นคง หงุดหงิด โมโหง่าย ปวดท้อง ปวดหัว ปวดหลังนอนไม่หลับ แล้วยังอาจเป็นบ่อเกิดของโรคร้ายแรงอื่น ๆ เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคกระเพาะอาหาร ต่อมไทรอยเป็นเป็นพิษ รวมไปถึงโรคจิต โรคประสาทได้อีก แต่เชื่อหรือไม่ว่านอกจากนี้แล้ว ความเครียดยังเป็นบ่อเกิดของโรคผิวหนังนานาชนิดได้อีกด้วยค่ะ สามารถแบ่งออกเป็นสามกลุ่มได้ดังนี้ – ในส่วนผู้ที่เป็นโรคผิวหนังอยู่แล้ว การมีความเครียดหรือโรคทางใจทำให้โรคกำเริบได้ เช่น ผมร่วง ภูมิแพ้ผิวหนัง เริม คัน สะเก็ดเงิน สิวเห่อ โรคผิวเปลือกไม้ หูด รวมไปถึงลมพิษ – กลุ่มโรคผิวหนังที่ทำให้จิตป่วยและเครียด คือโรคผิวหนังที่ทำให้ผู้ป่วยมีลักษณะภายนอกไม่น่ามอง เช่น สิวรุนแรง ด่างขาว สะเก็ดเงิน เริ่ม ผู้ป่วยจึงเสียความมั่นใจ รู้สึกอับอาย – กลุ่มโรคทางใจที่ทำให้เกิดอาการทางผิวหนัง เช่น โรคชอบดึงผมเล่นจนร่วง โรคหลงผิดคิดว่ามีแมลงหรือพยาธิไต่ตามผิวหนัง โรคฝังใจว่ามีเส้นใยผุดออกมาจากผิวหนัง โรคไม่พอใจในรูปร่างหน้าตาตนเอง ชอบคิดว่าตนเองไม่สวย ผมบาง ขนดก และชอบเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่น…
-
ยารักษาโรคงูสวัด…มีจริงหรือไม่
ยารักษาโรคงูสวัด…มีจริงหรือไม่ โรคงูสวัด นั้นเป็นโรคผิวหนังอีกชนิดหนึ่งที่พบได้มากในประเทศไทย โดยเกิดจากเชื้อไวรัสที่ชื่อว่า VZV ซึ่งเชื้อนี้ทำให้เกิดโรคในมนุษย์ได้สองโรคก็คือ.. – โรคอีสุกอีใส เมื่อร่างกายรับเชื้อ VZV เข้ามาจะทำให้เกิดอาการเป็นไข้ตัวร้อนก่อน 1-2 วัน แล้วจึงมีตุ่มน้ำใสคล้ายบนหยดบนบนร่างกาย กระจายตัวขึ้นเป็นระลอก ๆ หลายรุ่น – ระยะที่สองคือโรคงูสวัด โดยเชื้อไว้รัสชนิดนี้จะทำให้เกิดโรคอีสุกอีใสในวัยเด็ก เมื่อหายแล้วเชื้อจะเข้าไปหลบซ่อนอยู่ในปมประสาทของร่างกาย และรอเวลาที่ร่างกายอ่อนเพลีย ภูมิคุ้มกันลดลง หรืออดนอน โดยอาจใช้เวลาเป็นสิบๆ ปีก็ได้ เพื่อปะทุขึ้นอีกครั้ง มักพบในกลุ่มผู้สูงอายุหรือคนที่อ่อนแอ ซึ่งจะแสดงอาการออกมาเป็นโรคงูสวัด อาการของโรคงูสวัสดนี้ จะแบ่งออกได้เป็นสามระยะได้แก่ – เริ่มต้นผู้ป่วยจะมีอาการปวดแสบปวดร้อนร้อน ๆ โดยหาสาเหตุไม่ได้ – ระยะต่อมาประมาณ 2-3 วันจะเริ่มมีผื่นแดง แล้วจึงกลายเป็นตุ่มน้ำใสเรียงกันเป็นแนวยาว ๆ ตามเส้นประสาท เมื่อตุ่มแตกจะกลายเป็นแผลและตกสะเก็ดแล้วหายได้เองในสองอาทิตย์ – หลังจากนั้นจึงเข้าระยะที่สาม คือมีอาการปวดแสบร้อนลึก ตามแนวของโรคที่เคยเป็น บางคนอาจเป็นได้อีกเป็นเดือนหรือหลายเดือน โดยเฉพาะคนแก่จะมีอาการปวดอีกเป็นปีเลย ในส่วนของยารักษางูสวัดนั้น ปัจจุบันจะมีใช้ยาต้านไวรัสชื่อว่า อะไซโคลเวียร์ ซึ่งก็ได้ผลดีทั้งผู้ป่วยงูสวัดและอีสุกอีใส และเริ่มด้วย นอกจากนี้ยังมียาวาลาซิโคลเวียร์และแฟมซิโคลเวียร์…
-
รู้จัก…โรคลมพิษกันค่ะ
รู้จัก…โรคลมพิษกันค่ะ อาการผื่นคันที่กระจายตัวไปทั่วร่างกายไม่ว่าจะเป็น แขนขา หน้า ตัว นั้นคือโรคลมพิษที่พอเห่อขึ้นมาทีหนึ่งก็ทำให้คันไปทั่วร่างและทรมานมากเหลือเกิน นอนก็นอนไม่ได้ เมื่อไปหาหมอแล้วก็ได้ยามาทาน ดีขึ้นอยู่พักหนึ่งแล้วก็เป็นใหม่อีก เป็น ๆ หาย ๆ อยู่ตลอดชีวิตอย่างนี้จะทำยังไงกันดีล่ะ ก่อนอื่นนั้นต้องมาทำความเข้าใจก่อนว่า ผื่นลมพิษสำหรับแต่ละคนนั้นอาจมีสาเหตุแตกต่างกันออกไป บางคนเป็นเพราะความเย็น แต่บางคนก็มักเป็นเพราะความร้อน.. เช่น – เกิดผื่นขึ้นทุกครั้งเวลาเล่นกีฬาจนเหงื่อออก เหมือนคนแพ้เหงื่อตัวเอง – ลมพิษบริเวณที่สวมเสื้อผ้ารัดแน่น เช่น ตามแนวเข็มขัดหรือยางยืด – ลมพิษจากการแพ้อาหาร ที่มีส่วนผสมของสารกันเสีย สีผสมอาหาร หรือสิ่งปนเปื้อนต่าง ๆ – บางคนก็เกิดจากการแพ้ยา ซึ่งก็สามารถแพ้ได้ทุกชนิดว่าจะเป็น ยาถ่าย ยาระบาย วิตามิน ยาหยอดตา ยาแผนโบราณ ฯลฯ แพ้ได้หมดทุกอย่าง – และผื่นลมพิษสำหรับบางคนก็เกิดจากการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน เช่น ทอนซิลอักเสบ หวัด ไซนัสอักเสบ ฯลฯ การป้องกันสำหรับคนที่มักจะเป็นผื่นลมพิษก็คือ เมื่อทราบว่าตนเองแพ้อะไรแล้วก็ควรหลีกเลี่ยงสิ่งที่ก่อให้เกิดอาการแพ้นั้น แล้วลมพิษก็จะหายไปหรือบรรเทาอาการลงได้เอง แต่ผู้ที่ไม่รู้ว่าตนเองเป็นลมพิษเรื้อรังเพราะอะไร หรือรู้สาเหตุแต่แก้ไขได้ยากก็ควรมาพบแพทย์ เพื่อพิจารณะใช้ยาควบคุมอาการ…
-
การป้องกัน…ไข้หวัดในเด็กเล็ก
การป้องกัน…ไข้หวัดในเด็กเล็ก โรคหวัดเป็นโรคติดเชื้อที่เด็ก ๆ เป็นกันมากที่สุด ยิ่งอยู่ในวัยที่ต้องเข้าไปอยู่ในเนอสเซอรี่ โรงเรียนอนุบาลทั้งหลายแล้ว ยิ่งติดต่อกันได้ง่ายมากยิ่งขึ้น เด็กบางคนเป็นหวัดแทบทุกเดือน เพราะเชื้อไวรัสที่ทำให้เป็นหวัดได้นั้นมีมากกว่าสองร้อยชนิด อาการของเด็กที่เป็นหวัดนั้น โดยมากจะมีอาการ คัดจมูก น้ำมูกไหล เจ็บคอ ไอ มีไข้ ปวดศีรษะ ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ควรดูแลเด็ก ๆ อย่างใกล้ชิดด้วยการให้เด็กจิบน้ำอุ่นบ่อย ๆ กินอาหารเหลวหรืออาหารที่ย่อยง่าย หากยังกินนมแม่อยู่ก็ให้ดูดนมบ่อยขึ้น ดูแลน้ำมูกให้จมูกโล่ง ให้เด็กได้นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ ให้เด็กปิดปากเวลาไอหรือจาม และแยกเด็กออกจากเด็กปกติเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อด้วย รวมไปถึงต้องดูแลอย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันอาการแทรกซ้อนอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นหูชั้นกลางอักเสบ ไซนัสอักเสบ หรือแม้กระทั่งปอดบวม ซึ่งหากเกิดความผิดปกติได้แก่ มีไข้สูงเกินกว่าสองวัน เด็กร้องกวนโยเย เจ็บหู ไอมากหรือไอเสียงก้อง หายใจแรงจนซี่โครงบุ๋ม หรือหายใจถี่เร็ว ควรรีบพบแพทย์ เพื่อป้องกันอันตราย ในระยะนี้คุณพ่อคุณแม่ควรพาเด็กมาหาหมอตามนัดและให้ลูกทานยาให้ครบ อย่าหยุดยาเองโดยพละการ ไม่ใช่เห็นว่าอาการทุเลาแล้วจึงหยุดยาเอง ทำแบบนี้เป็นอันตรายมากเพราะจะทำให้ติดเชื้อแทรกซ้อนอื่นได้ง่าย และทำให้ดื้อยาด้วย และที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือการป้องกันเด็กมิให้เป็นไข้หวัดเสียตั้งแต่แรก ได้แก่การดูสุขภาพของเด็กให้แข็งแรง โดย – ทานอาหารให้ครบหมู่และเหมาะสมตามวัยของเด็ก – ปล่อยให้เด็กได้วิ่งเล่นกลางแจ้งเพื่อเป็นการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ – ให้เด็กได้เข้านอนแต่หัวค่ำและนอนหลับอย่างพอเพียงทุกวัน…
-
“หนังสือภาพ” ของขวัญของเล่นสำหรับเด็ก
“หนังสือภาพ” ของขวัญของเล่นสำหรับเด็ก ของเล่นกันเด็กนั้นเป็นของคู่กันเลยนะคะ หากบ้านไหนมีเด็กเล็กแล้วไม่มีของเล่นเลยคงเป็นเรื่องแปลกมาก เวลาผู้ใหญ่ที่คิดถึงเด็กอยากซื้อของฝากเด็ก ก็มักจะนึกถึงของเล่นเด็กไว้ก่อน หากเป็นผู้หญิงก็คงเลือกซื้อเป็น ตุ๊กตา บ้านตุ๊กตา ชุดกระจกแต่งตัวหวีผม ชุดตกแต่งบ้าน หากเป็นเด็กผู้ชายก็คงได้เลือกเป็นรถของเล่น หุ่นยนต์ ปืนของเล่น ตัวต่อ ฯลฯ อะไรกันไป รวมไปถึงหากไม่มีของเล่นจริง ๆ เด็กก็สามารถนำเอาของใกล้ตัวมาจินตนาการเป็นของเล่นได้เหมือนกัน และเด็กจะชอบของเล่นที่ตัวเองจินตนาการขึ้นมา มากกว่าของเล่นจริง ๆ ที่มีขายอยู่ทั่วไปเสียอีกนะคะ วันนี้จะแนะนำของเล่นอีกประเภทหนึ่งที่เด็ก ๆ ก็ชอบและเล่นได้ไม่รู้เบื่อเลยก็คือ “หนังสือภาพ” นั่นเองค่ะ เดี๋ยวนี้หนังสือที่ทำเป็นของเล่นถูกผลิตออกมาหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น หนังสือป๊อบอัพ หนังสือลอยน้ำ หนังสือมีเสียงดนตรี หนังสือเหล่านี้มักจะเป็นเล่ม แต่มีภาพอยู่ในหนังสือมากมาย และส่วนมากมักเป็นภาพน่าดู สะดุดตาเด็ก ไม่ได้เล่าเป็นเรื่องราวหรือมีอารมณ์อย่างหนังสือภาพอื่น ๆ เคยมีสันทัดกรณีได้ศึกษาความแตกต่างของการให้หนังสือภาพเหล่านี้เป็นของเล่นให้กับเด็ก พบว่าเด็กบางคนคลานหาหนังสือภาพเหล่านี้ มากกว่าของเช่นชิ้นอื่น ๆ อีกทั้งไม่ยังเบื่อง่าย ๆ ด้วย ของเล่นบางชิ้นเล่นแป๊บเดียวก็เบื่อ แต่หนังสือภาพสามารถเปิดเล่นได้ หรือเปิดให้ผู้ใหญ่อ่านให้ฟังได้เป็นปี ๆ ไม่มีเบื่อเลย มีการวิจัยจากชาวอเมริกันเมื่อปี 2551 ด้วยว่า…
-
ทำความเข้าใจกันใหม่กับ…โรคกรดไหลย้อน
ทำความเข้าใจกันใหม่กับ…โรคกรดไหลย้อน เดี๋ยวนี้โรคกรดไหลย้อนไม่ใช่โรคใหม่อีกต่อไปแล้วนะคะ แต่เนื่องจากในปัจจุบันมีการโฆษณาบิดเบือนความเข้าใจของโรคนี้เพื่อหลอกขายยาลดกรดอย่างแรงกลุ่มหนึ่งอยู่ บทความวันนี้จึงจะพาคุณผู้อ่านได้มาทำความเข้าใจกันใหม่เกี่ยวกับโรคกรดไหลย้อนค่ะ “โรคกรดไหลย้อน” คือภาวะที่มีน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร ไหลย้อนขึ้นมาในหลอดอาหาร ทำให้เกิดอาการแสบร้อนหน้าอกหรือจุกเสียดลิ้นปี่ เพราะน้ำย่อยในกระเพาะอาหารนั้นมีฤทธิ์เป็นกรด ทำให้แสบคอ ท้องอืด ท้องเฟ้อ หรือคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย โดยปกตินั้นการที่กรดหรือน้ำย่อยไหลย้อนขึ้นมาจนป่วยเป็นโรคนี้ได้นั้นพบได้น้อยมาก เพราะร่างกายเราได้มีวิธีการที่ดีในการกันกรดหรือน้ำย่อยในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นมาได้ แต่บางครั้งเกิดจากการย่อยอาหารไม่ปกติ เช่น กินอาหารที่ย่อยยาก หรือเคี้ยวไม่ละเอียด ทำให้ท้องอืด เรอ และเกิดแรงดันในกระเพาะขึ้นด้านบนจนขย้อนให้น้ำย่อยที่มีกรดไหลย้อนกลับขึ้นมา จนเกิดอาการแสบร้อนในอก แสบคอ อาเจียนดังกล่าว แม้อาการเหล่านี้จะสามารถเป็นได้ทุกคน แต่ก็ไม่ได้บ่อย ๆ แต่หากเป็นบ่อยจึงจะเรียกว่า โรคกรดไหลย้อน ซึ่งอาจมีความผิดปกติของหูรูดหลอดอาหารส่วนล่างและมีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ เข้าร่วมด้วย ได้แก่ อ้วนลงพุง, ชอบกินอาหารมาก ๆ , กินแต่ของมัน ของทอด, ผู้ที่กินอาหารอิ่มแล้วรีบนอนเลย, ผู้ที่ชอบดื่มน้ำอัดลม ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ ฯลฯ แต่ผู้ที่ไม่มีปัจจัยเสี่ยงเลยแล้วเกิดอาการขึ้นมานาน ๆ ที ก็ไม่จำเป็นต้องรักษาด้วยยาลดกรดแบบแรง ๆ ก็ได้ จะมีโรคกรดไหลย้อนอีกชนิดหนึ่ง ที่มีอาการเจ็บคอบ่อย ๆ เสียงแหบ…
-
ขยันเรียนแทบตาย.. แต่ทำไมยังสอบตก?
ขยันเรียนแทบตาย.. แต่ทำไมยังสอบตก? หลักการเรียนการสอนปัจจุบันนี้ ยอมรับการแล้วว่าจำเป็นต้องสอนให้เด็กมีความรู้พัฒนาไปทั้งทางด้านของไอคิวและอีคิวไปพร้อมกัน โดยไอคิว ก็คือ ระดับของสติปัญญาความรู้ ส่วนอีคิวนั้นจะหมายถึงความฉลาดทางอารมณ์ มีความสามารถในการจัดการอารมณ์เพื่อให้ชีวิตมีความสุขและมีความคิดสร้างสรรค์ แต่ปัญหาของการเรียนการสอนในโรงเรียนทุกวันนี้กลับมีปัญหาที่แก้ไม่ตกอยู่บางประการก็คือ เด็กบางคนอ่านหนังสือแทบตายแล้วก็ยังสอบตกอยู่ดี เด็กขี้เกียจไม่เรียนไม่อ่านหนังสือ แล้วสอบตกหรือทำข้อสอบไม่ได้นั้นก็เป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้ แต่ทำไมเด็กหัวดี ขยันเรียนทั้งหลายนั้น ยิ่งเรียนก็เหมือนยิ่งโง่ลง หรือยิ่งเรียนแล้วก็เหมือนยิ่งเสียสุขภาพจิตไปเรื่อง ๆ อ่านหนังสือหัวแทบแตกแต่ก็ทำข้อสอบไม่ได้ ฯลฯ ต่าง ๆ เหล่านี้ แล้วมีเด็กประเภทนี้เป็นจำนวนมากทั่วประเทศ บางทีเราคงต้องหันมามองในด้านตรงข้ามกับเด็กบางแล้วล่ะ ว่าปัญหาอยู่ที่ตรงจุดไหนกันแน่ ปัจจัยอื่น ๆ ที่อาจสร้างปัญหาให้เด็กเป็นเช่นนั้น อาจจะเป็น ครูหรืออาจารย์ไม่เข้าใจในสิ่งที่ตัวเองสอนอย่างแท้จริง สอนไม่เก่ง ถ่ายทอดไม่เป็น สอนนอกหลักสูตร หรือหลักสูตรไม่เหมาะสม ตลอดจนข้อสอบที่ออกมาวัดผลนั้นไม่เป็นไปตามหลักสูตรที่สอน หรือสิ่งที่เป็นความรู้ หรือจงใจออกข้อสอบเพื่อให้เด็กส่วนใหญ่ทำไม่ได้ก็มี (ทำได้เฉพาะเด็กตัวเอง หรือที่กวดวิชากับตัวเอง) และสิ่งเหล่านี้มักจะพบเห็นได้ชัดเจนในวาระของการสอบแข่งขันโดยใช้ข้อสอบรวมเดียวกัน การสอนของครูในห้องเรียนรวมไปถึงหลักการออกข้อสอบนั้น แบ่งออกได้เป็นสามประเภท ได้แก่ ตามหลักสูตร ตามหลักการ ตามหลักกู ซึ่งข้อสุดท้ายหรือ ตามหลักกูนี่แหล่ะที่สร้างปัญหา ทำให้ขาดความน่าเชื่อถือมากที่สุด แต่กลับถูกใช้มากที่สุด ในบางวิชาหากมีครูหลายคน บางครั้งก็สอนไม่เหมือนกัน เมื่อเด็กมาสอบรวมกันจึงเป็นปัญหา ข้อสอบบางข้อไม่มีในตำรา…
-
สูตรใหม่เลี้ยงลูก 4 ดี เด็กดีมีความสุข
สูตรใหม่เลี้ยงลูก 4 ดี เด็กดีมีความสุข ไม่ว่าเด็กคนไหนก็ต้องการการเลี้ยงดูอย่างอบอุ่นจากผู้ปกครองหรือพ่อแม่กันตั้งแต่เกิดไปจนพึ่งพาตัวเองได้ทั้งนั้น และถ้าเลือกได้เด็กทุกคนก็อยากเป็นที่รักของพ่อแม่ อยากให้พ่อแม่ได้เลี้ยงดูตนเอง แต่ก็เด็กทุกคนก็ใช่จะเหมือนไปกันไปหมด แต่ละคนต่างก็มีปัจจัยที่ต่างกันไป การเลี้ยงเด็กจึงต้องมีสูตรการเลี้ยงเด็กที่ควรคำนึงถึงดังต่อไปนี้ค่ะ ดีแรก รู้จักเด็ก เพราะเด็กแต่ละคนมีความแตกต่างกัน ได้แก่พื้นฐานของอารมณ์ ซึ่งเป็นผลจากพันธุกรรมของพ่อแม่และสภาพแวดล้อมขณะที่อยู่ในครรภ์และหลังจากเกิดออกมา เด็กแต่ละคนจึงแสดงพฤติกรรมที่แตกต่งกันไป ทั้งที่อยู่ในบ้านหลังเดียวกันหรือเป็นพี่น้องกัน พื้นฐานทางอารมณ์ของเด็กแบ่งลักษณะเด็กออกได้สี่แบบคือ เด็กเลี้ยงง่าย เด็กเลี้ยงยาก เด็กที่ปรับตัวช้า และเด็กที่มีลักษณะผสมในระดับเฉลี่ยปานกลาง จึงควรทำความเข้าใจลูกของเราให้ดีว่าเขาเป็นแบบไหนกันแน่? ดีที่สอง รู้จักวิธีเลี้ยงเด็ก รู้ว่าสิ่งที่เด็กต้องการคือความสุข เด็กที่มีความสุขก็คือเด็กที่ทำกิจกรรมที่สร้างสรรค์ เด็กที่ไม่มีความสุขจะแสดงพฤติกรรมไม่น่ารัก การทำให้เด็กมีความสุขต้องโปรแกรมสมองเด็กโดยการบ่มเพาะจิตใจเด็กผ่านการรับรู้ของเด็กสามแบบคือ การกระทำและการแสดงออก, การสื่อสารและคำพูด รวมไปถึงจิตใจที่ตั้งมั่นคง ดีที่สาม รู้จักพ่อแม่ บางทีพ่อแม่ก็ต้องหันมามองดูตัวเองด้วยว่าสิ่งที่ให้ลูกไป หรือเลี้ยงลูกไปแบบนั้นด้วยการเข้าใจไปเองว่านั่นคือสิ่งที่ดีที่สุดนั้น เกิดจากอะไรกันแน่ แล้วเป็นสิ่งที่ดีจริงหรือเปล่า การได้กลับมาทบทวนตัวอง ทำความเข้าใจถึงเหตุผลของตัวเองเพื่อปรับเปลี่ยนวิธีการเลี้ยงเด็กนั้นก็เป็นสิ่งที่จำเป็นมากอีกอย่างหนึ่งค่ะ ดีที่สี่ รู้จักความโกรธ ความโกรธเป็นอารมณ์ชนิดหนึ่ง ไม่ผิดอะไรที่จะโกรธ แต่ต้องเรียนรู้และฝึการควบคุมความโกรธให้ดี ยิ่งโดยเฉพาะตัวพ่อแม่เองในขณะที่มีปฏิกิริยาโต้ตอบกับเด็ก หากคุณควบคุมความโกรธได้จะควบคุมโลกได้ทั้งใบเลยทีเดียว เมื่อคุณควบคุมความโกรธตัวเองได้ ลูกคุณก็จะควบคุมมันได้เช่นกัน แม้เด็กจะดูฉลาดขนาดไหน แต่เขาก็ยังคงเป็นเด็กอยู่ดี ทั้งทางร่างกาย สติปัญญหา อารมณ์และจิตใจ ยังต้องการการพัฒนาอีกมาก…
-
5 ความสุขแบบใหม่กับปีใหม่ที่กำลังมาถึง
5 ความสุขแบบใหม่กับปีใหม่ที่กำลังมาถึง ทุก ๆ ปีใหม่ ไม่ว่าใครก็ฝันอย่างได้ของขวัญที่ถูกใจจากผู้อื่น หรือแม้แต่ตัวเองกันทั้งนั้น แต่ไม่ว่าคุณจะสมหวังหรือไม่สมหวังกับวัตถุเหล่านั้น สิ่งที่น่าจะทำให้ทุกคนพอใจน่าจะเป็น “ความสุข” มากกว่า ความสุขนั้นนอกจากจะเกิดจากพันธุกรรมแล้ว ยังสามารถฝึก หัด สร้างวิธีคิดที่ดี ๆ หรือความคิดแง่บวก การกระทำในสิ่งที่สร้างสรรค์และเป็นประโยชน์ การสร้างความภาคภูมิใจในตนเอง รวมทั้งการจัดการกับสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ให้รู้สึกเป็นสุข คนเราก็สามารถมีความสุขกันทุกเมื่อได้แล้ว จะดีกว่าไหม หากของขวัญปีใหม่จะเป็น “หัวใจที่มีความสุข” ให้กับตัวเอง ความสุขนั้นสามารถแบ่งตามลักษณะสาเหตุได้ดังต่อไปนี้ 1. สุขสนุก เกิดจากความสนุกสนาน การเล่นต่าง ๆ ดูหนังฟังเพลง ดูตลก คูคอนเสิร์ต ทานอาหารดื่มกิน หรือเล่นกีฬา ความสุขเหล่านี้เป็นความสุขแบบสั้น ๆ ผ่านไประยะหนึ่งความสุขก็หายไป หากต้องการความสขุอีกก็ต้องไปหาความสนุกอีก 2. สุขสบาย เกิดจากความสบาย ผ่อนคลาย เช่น การไปพักผ่อนหย่อนใจ อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี สะดวกสบาย ถือเป็นความสุขระยะสั้นเช่นกัน เมื่อมีความเครียดเข้ามาก็ไม่สุข 3. สุขสง่า เกิดจากความสำเร็จ…