Author: pure
-
ทำความเข้าใจกันใหม่ แคลเซียมไม่ได้รักษากระดูกได้ทุกโรคเสมอไป
ทำความเข้าใจกันใหม่ แคลเซียมไม่ได้รักษากระดูกได้ทุกโรคเสมอไป หากจะพูดถึงโรคกระดูกที่พบกันได้มากในประเทศไทยนั้น ก็เห็นจะไม่พ้น โรคกระดูกเสื่อม กระดูกพรุน และกระดูกอ่อน ซึ่งทั้งสามโรคนี้ไม่ได้เป็นโรคเดียวกัน การรักษาก็มีความแตกต่างกันไป แต่ก็ยังการถูกนำไปโฆษณาขายแคลเซียมกันอย่างแพร่หลาย ซึ่งปัจจุบันพบว่ามีการให้ข้อมูลและคำแนะนำที่ผิด ๆ เกี่ยวกับแคลเซียมและการรักษาโรคกระดูกอยู่มาก แม้แต่แพทย์หลายท่านก็ยังนิยมให้ผู้ป่วยโรคกระดูกและข้อ ทานแคลเซียม โดยไม่ได้พิจารณาถึงชนิดของโรคที่เป็นจริง ๆ นอกจากไม่ได้ประโยชน์แล้วยังอาจสิ้นเปลืองโดยใช้เหตุอีกด้วย ทำให้เกิดผลข้างเคียงและฤทธิ์ไม่พึงประสงค์ของแคลเซียมอีกต่างหาก การจะใช้แคลเซียมมารักษาโรคกระดูกได้ตรงจุดนั้นควรรู้จักกับโรคกระดูกทั้งสามแบบข้างต้นเพื่อให้เห็นความแตกต่างก่อน ดังต่อไปนี้ 1. โรคกระดูกเสื่อม เป็นโรคที่มีการเสื่อมของกระดูกอ่อนของข้อที่มีการเคลื่อนไหวมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นข้อเท้า ข้อเข่า ข้อสะโพก ข้อมือ ข้อศอก ฯลฯ การเสื่อมนี้หมรยถึงการเสียความยืดหยุ่น เกิดความเสื่อมและสึกหรอ จึงทำให้ปวดขัดตามข้อ ข้อโปนและผิดรูป พบมากในผู้ใช้แรงงาน ผู้ที่ใช้ร่างกายมาก และผู้สูงอายุ ซึ่งการรักษาในโรงพยาบาล หมอก็จะจ่ายยาแก้ปวด แก้อักเสบ ลดกรด ยาเคลือบกระเพาะ แคลเซียม และกลูโคซามีนให้ด้วย แต่หมอไม่ได้รู้เลยว่า แคลเซียมและยาลดกรดนั้นกินด้วยกันอาจทำให้ท้องผูก และแคลเซียมไม่มีประโยชน์อะไรกับโรคเลย การรักษานั้นก็คือการให้ยาบรรเทาปวด ลดการใช้งานข้อนั้น และให้ยาเสริมกระดูกพวกกลูโคซามีนเท่านั้นก็เพียงพอ 2. โรคกระดูกพรุนหรือกระดูกโปร่งบาง หรือเรียกว่ากระดูกผุ เป็นการเสื่อมของกระดูกแข็งซึ่งมีเนื้อเยื่อกระดูกและแคลเซียมลดลง…
-
ดูแลลูก ๆ ของคุณให้ห่างไกลจากการ “จมน้ำ”
ดูแลลูก ๆ ของคุณให้ห่างไกลจากการ “จมน้ำ” ทุกฤดูกาล เรามักได้ยินข่าวเด็กจมน้ำกันเป็นประจำทุกปี ไม่ว่าในชุมชนจะมีมาตรการป้องกันมากขนาดไหนก็ยังมีข่าวเหล่านี้พาดหัวกันให้สงสัยกันตลอดว่า เพราะอะไรจึงมักเกิดอุบัติเหตุที่คาดไม่ถึงเหล่านี้ขึ้นได้ แต่จากข้อมูลขอสำนักโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข นั้นได้รายงานว่า การจมน้ำนั้นเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งของเด็กไทยเลยทีเดียว โดยเฉลี่ยถึงปีละกว่า 1,500 คน ซึ่งปัจจัยเสี่ยงนั้นเกิดจาก – เด็กอายุต่ำกว่าห้าขวบนั้น มักทรงตัวยังไม่ดี ทำให้ล้มในท่าศีรษะทิ่มได้ง่าย – เด็กมักจมน้ำในแหล่งน้ำใกล้บ้าน เช่น กะละมัง ถังน้ำ บ่อน้ำ แอ่งน้ำ – หากเป็นเด็กที่อายุมากกว่าห้าขวบ แล้วเริ่มออกไปเล่นนอกบ้าน ก็มักพบว่าเด็กจะจมน้ำตามแหล่งน้ำธรรมชาติ คลอง บึง หรือแหล่งน้ำที่ขุดเพื่อทำการเกษตรในละแวกบ้านโดยที่ชุมชนหรือผู้ดูแลไม่รู้ว่าแหล่งนั้นนั้นมีความอันตรายต่อเด็ก ๆ นอกจากการต้องดูแลเด็ก ๆ ของคุณอย่างใกล้ชิดแล้ว ยังต้องมีการร่วมมือกันเพื่อจัดการสิ่งแวดล้อมมิให้เด็กเข้าถึงแหล่งนั้นอันจะเกิดอุบัติเหตุไม่คาดฝันได้ดังนี้ – ในชุมชนหรือในครอบครัวควรสอนเด็ก ๆ ให้ว่ายน้ำให้เป็นทุกคน รู้จักการเอาชีวิตรอดเมื่อตกน้ำ วิธีการช่วยเหลือผู้อื่นเมื่อพบคนจมน้ำ สอนว่าให้วิ่งไปเรียกผู้ใหญ่มาช่วย อย่ากระโดดลงไปเอง สอนว่าให้ยื่นอุปกรณที่อยู่ใกล้ตัวเพื่อช่วยคนจมน้ำ เช่น เชือก กิ่งไม้ ขวดน้ำดื่มเปล่า ถังเปล่า ฯลฯ…
-
การดูแลตนเองในที่ที่มีควันไฟ
การดูแลตนเองในที่ที่มีควันไฟ แม้ในเมืองจะไม่ค่อยเห็นการเผาขยะหรือเผาฟาง เผาหญ้าแห้งกันมากนัก แต่ตามต่างจังหวัดหรือชนบทยังมีการเผาไหม้ที่เกิดจากคนเผามากอยู่ดี การเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์เหล่านี้ทำให้เกิดเขม่าควัน ฝุ่นละออง และก๊าซพิษต่าง ๆ ซึ่งสามารถเข้าสู่ปอดทำให้ปอดอักเสบ นานเข้าก็อาจทำให้เกิดโรคหอบหืด ถุงลมโป่งพองหรือมะเร็งปอดได้ นอกจากการเผาขยะแล้ว การหุงข้างด้วยฟืน การก่อไฟผิง การสูบบุหรี่หรือแม้กระทั่งการจุดธูป จึงเป็นการก่อมลพิษโดยตรงที่ส่งผลต่อสุขภาพของคนในครอบครัวและชุมชนใกล้เคียงอย่างยากที่จะหลีกเลี่ยง ทำให้ผู้ที่เข้าปะทะกับควันเหล่านี้มีอาการแสบตา ตาแดง น้ำตาไหล น้ำมูกไหล หากเป็นโรคทางเดินหายใจอยู่ก่อนแล้ว ก็อาจทำให้โรคกำเริบได้ กลุ่มที่เสี่ยงมากที่สุดก็เห็นจะเป็นกลุ่มเด็กเล็ก สตรีมีครรภ์ ผู้สูงอายุ ฯลฯ มีข้อแนะนำในการดูแลสุขภาพเมื่อประสบกับควันไฟอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ดังต่อไปนี้ค่ะ – ควรสวมหน้ากากอนามัยที่ทำจากผ้าฝ้ายหรือผ้าลินินหลาย ๆ ชั้น หากทำให้เปียกด้วยก็จะยิ่งช่วยกรองฝุ่นควันได้ดีขึ้น และเมื่อเริ่มอึดอัดหายใจไม่สะดวกหรือสกปรกแล้วก็ควรเปลี่ยนผืนใหม่ด้วย – ปิดประตูหน้าต่างไม่ให้ควันไฟลอยเข้าภายในบ้านเรือน ที่อยู่อาศัย หากมีแอร์คอนดิชั่นหรือเครื่องกรองอากาศควรทำความสะอาดระบบกรองเป็นประจำ – ดูแลสุขภาพให้แข็งแรงไว้เสมอ หากภายในครอบครัวมีกลุ่มผู้ป่วยหรือกลุ่มเสี่ยงที่จะเจ็บป่วยควรสังเกตอาการ และหากมีสิ่งผิดปกติควรรับส่งโรงพยาบาลเพื่อรับการรักษาโดยเร็ว เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราทุกคนในสังคมควรร่วมมือกัน หลีกเลี่ยงการก่อควันไฟซึ่งทำให้เป็นอันตรายและก่อมลพิษ หากทำได้ทุกคนก็จะทำให้สภาพแวดล้อมดีขึ้นไปด้วยค่ะ
-
มาสังเกต…อุจจาระตัวเองกัน
มาสังเกต…อุจจาระตัวเองกัน การอุจจาระ เป็นกิจกรรมประจำวันที่สำคัญต่อสุขภาพ แต่คนส่วนใหญ่เวลาจัดการธุระเรียบร้อยแล้วก็มักไม่เคยหันมาสังเกตอุจจาระของตนเองเลย วันนี้เลยอยากจะมาชวนคุณผู้อ่านหันมาดูอุจจาของตัวเอง เพื่อตรวจสอบสุขภาพของคุณกันค่ะ ทุกคนมีลักษณะของอุจจาระ และพฤติกรรมการถ่ายอุจจาระที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับชนิดของอาหารที่ทาน ปริมาณน้ำที่ดื่ม การออกกำลังกาย และลักษณะจำเพาะทางร่างกายของคน ๆ นั้นด้วย ลักษณะของอุจจาระที่เหมาะสมนั้นควรมีความอ่อนนิ่มกำลังพอดี ไม่ต้องออกแรงเพ่งมาก มีสีและกลิ่นปกติ หากกินผักก็อาจมีสีเขียวมาก หากกินผลไม้ชนิดใดมากก็อาจถ่ายเป็นสีนั้นออกมาได้ แต่หากกินผักผลไม้น้อย แล้วกินเนื้อสัตว์มากอุจจาระก็อาจมีกลิ่นเหม็นมากได้ สำหรับผู้ที่ท้องผูกบ่อย ๆ อุจจาระคั่งค้างในร่างกายนานเกิดไป ทำให้บูดเน่าเสียในลำไส้จนเกิดสารพิษขึ้น สารพิษนี้จะถูกดูดกลับเข้าไปภายในร่างกายใหม่อีกครั้งพร้อมกับน้ำ อุจจาระจึงแข็งถ่ายลำบาก อีกทั้งสารพิษเหล่านี้ยังทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ ภูมิต้านทานโรคต่ำ เซลล์เสื่อมลง แล้วยังอาจทำให้เป็นมะเร็งได้ด้วย ดังนั้นเราจึงควรทำให้กิจกรรมการถ่ายอุจจาระของเราเป็นปกติและเป็นเวลา โดย.. – ทานอาหารที่มีเส้นใยอาหารสูง ๆ เช่น ผักผลไม้ให้มาก เพื่อปริมาณและความเหลวของอุจจาระได้ดี – ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 2 ลิตรหรือราว ๆ 8-10 แก้ว เพื่อให้อุจจาระอุ้มน้ำพองตัว นิ่ม แล้วถูกขับออกมาได้ง่าย – ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง ช่วยให้การทำงานของลำไส้ดีขึ้น จะสังเกตได้ว่ามีการเรอหรือผายลมเวลาออกกำลังกาย จึงไม่มีปัญหาท้องผูก ท้องเฟ้อ…
-
เคล็ดลับการเพิ่มพลังทางเพศโดยไม่ใช้ยา
เคล็ดลับการเพิ่มพลังทางเพศโดยไม่ใช้ยา เพราะความรักขับเคลื่อนโลก เพศสัมพันธ์จึงเป็นกระบวนการหนึ่งในการผลักดันโลกไปข้างหน้าด้วยเช่นกัน ระหว่างชายกับหญิงนั้น เมื่อได้แต่งงานกันแล้ว กิจกรรมทางเพศก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ช่วยให้ชีวิตคู่ยืดยาวไปได้ สร้างความกระชับแน่นแฟ้นระหว่างกันและกัน สร้างบุตรหลานให้ออกมาสืบทอดสายสกุลต่อไปได้ แต่เมื่อทั้งสองย่างเข้าสู่วัยกลางคน หรือมีภารกิจหน้าที่การงานมากขึ้น พลังทางเพศที่ควรจะสมบูรณ์ก็อาจหดหายไป จนในบางคู่เกิดความห่างเหินระหว่างกัน บางครั้งการถดถอยของพลังทางเพศก็อาจเกิดจากความอ่อนล้า อ่อนเพลียจากความเครียดในชีวิตประจำวัน รวมทั้งการขาดการพักผ่อนที่เพียงพอก็ได้ ดังนั้นเราจะมาเติมพลังทางเพศแบบธรรมชาติบำบัดกันค่ะ ฮอร์โมนเพศชายหรือฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนนั้นเป็นฮอร์โมนพลังทางเพศ ซึ่งมีทั้งในตัวของฝ่ายชายและฝ่ายหญิง การที่พลังทางเพศเหือดหายไปอาจเป็นเพราะร่างกายกำลังพร่องฮอร์โมนตัวนี้อยู่ เราจึงจำเป็นต้องเพิ่มปริมาณของมันขึ้นมา โดย.. – เข้านอนให้ตั้งแต่หัวค่ำ ไม่ควรเกินสี่ทุ่ม เพื่อที่ร่างกายจะได้หลับสนิทตอนตีสอง เพราะในเวลานี้ฮอร์โมนของการเจริญพันธ์จะทำงานได้เต็มที่ และควรนอนให้พอเพียงอย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อคืนด้วย – อาหารเช้าเป็นมื้อที่สำคัญที่สุด ยิ่งมีส่วนช่วยเพิ่มพลังงานทางเพศให้สมบูณ์ยิ่งขึ้น ยิ่งทานอาหารได้ครบถ้วนทุกหมู่ยิ่งดี หรืออย่างน้อยสำหรับคนที่เร่งรีบ กล้วยสักผล กับนมสักแก้วก็ยังดี – หมั่นออกกำลังกายสม่ำเสมอสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง ครั้งละครึ่งชั่วโมงเป็นต้นไป – นอกจากการพักผ่อนด้วยการนอนหลับแล้ว ควรหาทางคลายเครียดแบบอื่น ๆ บ้าง ไม่ว่าจะเป็นการไปนวดตัว ไปเข้าสปา การฟังเพลง การท่องเที่ยวธรรมชาติ การร้องเพลง ก็ได้ตามต้องการ ฯลฯ – ควรหมั่นมีกิจกรรมทางเพศกับคนที่รักอย่างสม่ำเสมอ…
-
หลัก 5 อ. ปรับภูมิชีวิต พิชิตมะเร็ง
หลัก 5 อ. ปรับภูมิชีวิต พิชิตมะเร็ง องค์การอนามัยโลก ได้คาดการณ์ไว้ว่าภายในปี 2005-2015 จะมีผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งเสียชีวิตโดยไม่ได้รักษาราว 84 ล้านคนทั่วโลก โดยในประเทศไทยนั้นมีผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นทุกปี ทำให้เสียค่าใช้จ่ายในการรักษาโรคถึงปีละเฉลี่ยเกือบสองหมื่นล้านบาท โรคมะเร็งนี้เป็นโรคที่อันตราย ส่วนใหญ่เป็นโรคของภูมิต้านมะเร็งบกพร่อง มีสาเหตุจากความเครียด พักผ่อนน้อย อายุมากขึ้น ไม่ออกกำลังกาย ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ ขาดสารอาหารช่วยเพิ่มภูมิต้านทานมะเร็ง กินอาหารหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนสารก่อมะเร็ง การสัมผัสกับรังสีชนิดต่าง ๆ ซึ่งผู้ป่วยมะเร็งนี้นอกจากทนทุกข์ทรมานจากภาวะของโรคแล้วยังสูญเสียเงินทองในการรักษาจำนวนมากอีก ผลการรักษาบางครั้งก็ไม่เป็นไปอย่างที่หวัง บางรายก็หายชั่วคราว บางรายก็ได้แค่บรรเทาอาการเท่านั้น ฯลฯ ดังนั้นจะดีกว่าหรือไม่หากเราจะปรับภูมิชีวิตของตัวเราเองเพื่อป้องกันและป้องกันการกระจายตัวของมะเร็ง ลดโอกาสการเป็นมะเร็งซ้ำอีกด้วย ก็คือหลัก 5 อ. อันได้แก่ 1. อาหาร เลือกทานอาหารให้ได้รับสารต้านอนุมูอิสระ และสารอาหารตามที่ร่างกายต้องการทุกอย่าง ตามปริมาณความต้องการของร่างกาย หลีกเลี่ยงอาหารที่มีความสุ่มเสี่ยงต่อสารเคมี ทานผัก ผลไม้ ถั่ว เห็ดต่าง ๆ เพิ่มภูมิต้านทานการเป็นมะเร็ง และต้านทานเซลล์กลายพันธุ์ได้ด้วย 2. ออกกำลังกาย อย่างน้อยวันละ 30 นาที ด้วยการบริหารลมหายใจ…
-
หมั่นตรวจแพ็ปสเมียร์ เพื่อเฝ้าระวังมะเร็งปากมดลูก
หมั่นตรวจแพ็ปสเมียร์ เพื่อเฝ้าระวังมะเร็งปากมดลูก มะเร็งปากมดลูกนั้น เป็นมะเร็งที่พบได้มากที่สุดในหญิงไทย ซึ่งรองลงมาก็คือมะเร็งโพรงมดลูก มะเร็งเต้านม และมะเร็งรังไข่ สาเหตุของการเกิดมะเร็งปากมดลูกนั้น เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเอชพีวี ชนิด 16 และ 18 ผู้ที่มีความเสี่ยงก็ได้แก่ หญิงที่เปลี่ยนคู่นอนหลายคน มีเพศสัมพันธ์เมื่ออายุยังน้อย มีสามีที่มีคู่นอนหลายคน จึงทำให้ได้รับเชื้อเอชพีวีจากการมีเพศสัมพันธ์ได้ รวมไปถึงผู้ที่มีประวัติเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น เอดส์ เริม หนองใน ซิฟิลิส ฯลฯ นอกจากนี้ การสูบบุหรี่ การมีอนามัยที่ไม่ดี ก็เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อมะเร็งปากมดลูกอีกด้วย โดยอาการของโรคมะเร็งปากมดลูกนี้ ได้แก่ มีเลือดออกจากช่องคลอดกะปริบกระปรอย มีตกขาวปนเลือด มีกลิ่นเหม็นผิดปกติ และในระยะท้าย ๆ จะมีอาการขาบวม ปวดก้นกบ ปัสสาวะ อุจจาระเป็นเลือด ซึ่งหากรอจนถึงมีอาการระยะนี้แล้วอาจมีโอกาสในการรักษาให้หายได้เพียงร้อยละ 20-30 เท่านั้น มะเร็งปากมดลูกนี้ระยะแรกจะไม่มีอาการใดเลย แต่หากตรวจพบจะสามารถรักษาให้หายได้ถึงร้อยละ 70-80 เลยทีเดียว การตรวจว่าเป็นมะเร็งปากมดลูกหรือไม่นั้น ใช้วิธีแพ็ปสเมียร์ ที่สามารถตรวจได้ง่าย รวมไปถึงการผ่าตัดที่มาพร้อมกับรักษาและวินิจฉัยระยะของโรคไปด้วยในตัว หากตรวจพบมะเร็งปากมดลูกในระยะแรกหากทำการผ่าตัดจะรักษาโรคได้ถึงร้อยละ 80 แต่หากพบว่ามีการกระจายตัวแล้วต้องใช้การฉายรังสีเพื่อรักษาด้วย…
-
รู้จักกับอันตรายของมะเร็งเม็ดเลือดขาว
รู้จักกับอันตรายของมะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งเม็ดเลือดขาว นั้นเกิดจากเซลล์เม็ดเลือดขาวมีการเจริญเติบโตแบ่งตัวเร็วกว่าปกติจนกลายเป็นเซลล์ที่ผิดกติ แล้วยังแก่ตัวและตายช้ากว่าปกติ แพร่กระจายตัวไปอยู่ตามอวัยวะต่าง ๆ ได้ ทำลายการสร้างเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือดในไขกระดูก ทำให้เกิดอาการแทรกซ้อนต่าง ๆ จนเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ มะเร็งเม็ดเลือดขาวนี้มีอยู่หลายชนิด หลัก ๆ แล้วแบ่งออกเป็นชนิดเฉียบพลัน และชนิดเรื้อรัง สาเหตุของมะเร็งเม็ดเลือดขาว ยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด แต่ก็มีปัจจัยสำคัญที่พันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม สาเหตุจากพันธุกรรม เช่น ผู้ที่มีกลุ่มอาการดาวน์ ผู้ที่มีโครโมโซมผิดปกติ หรือผู้ที่มีญาติสายตรงเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว ก็มีความเสี่ยงด้วย รวมไปถึงผู้ที่เคยได้รับการบำบัดมะเร็งชนิดอื่นมากอ่น รวมไปถึงผู้ที่มีประวัติการสัมผัสกับรังสีนิวเคลียร์หรือสารเบนซินก็มีความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวสูงกว่าคนทั่วไป อาการของผู้ที่ป่วยเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวแบบเฉียบพลัน ได้แก่ มีไข้ มีอาการซีดหรือมีจ้ำเขียวตามตัว มีเลือดออกบริเวณต่าง ๆ เช่น เลือดกำเดาไหล เลือดออกตามไรรฟัน ประจำเดือนมากผิดปกติ หรอืการถ่ายเป็นเลือด มีอาการไข้เรื้อรัง อ่อนเพลียน้ำหนักลด ฯลฯ ต่อมาด้วยอาการซีด อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย อาจมีอาการทางสมอง แน่นท้อง ปวดท้องเนื่องจากตับโต แต่บางรายก็มีอาการเฉพาะที่ ทั้งการปวดกระดูกและข้อ เหงือกบวม เป็นต้น ในส่วนของมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรัง ในระยะแรกจะไม่มีอาการ…
-
ระวังไว้ก่อน กับมะเร็งที่ไต
ระวังไว้ก่อน กับมะเร็งที่ไต มะเร็งไตเป็นโรคที่คนไทยไม่ค่อยคุ้นเคยกันเหมือนมะเร็งอื่น ๆ อย่าง มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก ฯลฯ มากนัก ในประเทศไทยนั้นมีผู้ชายป่วยเป็นมะเร็งไต 1.6 รายต่อแสนคน และผู้หญิง 0.8 รายต่อประชากรแสนคน พบมากในกลุ่มผู้สูงอายุ 50-70 ปีขึ้นไป ซึ่งส่วนใหญ่จะมาตรวจพบมะเร็งไตเพราะมารักษาโรคอื่นๆ อาการของมะเร็งไตนั้น พบได้หลายอย่างไม่ว่าจะเป็น ปัสสาวะเป็นเลือด ปวดบริเวณเอว คลำพบก้อนที่เอวซีด เบื่ออาหาร มีไข้เรื้อรัง น้ำหนักลด สามารถแบ่งมะเร็งไตออกเป็น สี่ระยะได้แก่ ระยะแรกจะมีขนาดก้อนน้อยกว่าเจ็ดเซนติเมตร ยังไม่ลุกลาม และจะโตขึ้นกว่าเจ็ดเซนติเมตรแต่ยังอยู่ในไตเป็นระยะที่สอง ส่วนระยะที่สามเริ่มลุกลามไปยังหลอดเลือดดำ หรือกระจายไปที่ต่อมน้ำเหลือ ในระยะที่สุดจะลุกลามไปยังอวัยวะใกล้เคียงแล้ว ได้แก่ ต่อมหมวกไต ปอด ตับ กระดูก ซึ่งแนวทางการรักษามะเร็งไต ก็ได้แก่ การผ่าตัด สำหรับมะเร็งไตระยะที่ 1-2 การฉายรังสีเพื่อเป็นการบรรเทาอาการ การใช้ยาเคมีบำบัด เพื่อยับยั้งการแพร่กระจายของมะเร็งไปที่อวัยวะอื่น ๆ รวมไปถึงการให้ยากระตุ้นภูมิคุ้มกัน ในกรณีที่มีการกระจายตัวไปที่อวัยวะอื่นแล้วเท่านั้น และอีกวิธีคือการรักษาแบบเฉพาะเจาะกลุ่มโดยการใช้ยา ซึ่งแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม คือ…
-
ทำความรู้จักกับ…มะเร็งต่อมลูกหมาก
ทำความรู้จักกับ…มะเร็งต่อมลูกหมาก โรคมะเร็งต่อมลูกหมากนั้น เป็นมะเร็งที่มักพบได้โดยบังเอิญขณะไปตรวจสุขภาพ ส่วนใหญ่ไม่ค่อยแสดงอาการ อาจมีบางรายที่ถ่ายปัสสาวะลำบากบ้าง มะเร็งชนิดนี้ลุกลามค่อนข้างช้า ผู้ป่วยจึงมักมีชีวิตที่เป็นปกติสุขดีและอายุยืนยาวไปตามปกติ ส่วนสาเหตุก็ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อกันว่ามีความสัมพันธ์กับระดับของฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนในเพศชาย รวมกับปัจจัยทางพันธุกรรรม พบมากในผู้ที่กินเนื้อแดงหรือไขมันมาก กินผักน้อย การทำหมัน และผู้ที่มีระดับของฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนในเลือดสูงด้วย อาการของมะเร็งชนิดนี้ อาจมีอาการแบบเดียวกับต่อมลูกหมากโต คือปัสสาวะลำบาก ต้องออกแรงเบ่งหรือรอนานกว่าจะถ่ายปัสสาวะออกได้ ปัสสาวะไม่พุ่ง ลำปัสสาวะเบี้ยวหรือเล็กลง รู้สึกเหมือนถ่ายไม่สุด ต้องปัสสาวะวะ หรือลุกขึ้นมาถ่ายปัสสาวะกลางคืน บางรายอาจถ่ายเป็นเลือดหรือมีเลือดในออกมากับน้ำอสุจิ ส่วนผู้ที่แพร่กระจายแล้ว ผู้ป่วยจะมีอาการเบื่ออาหาร น้ำหนักลด หากแพร่ไปที่กระดูกสันหลัง กระดูกซี่โครงหรือเชิงกรานจะมีอาการปวดกระดูกบริเวณนั้น หากแพร่ไปต่อมน้ำเหลืองต้นขาจะมีอาการขาบวม ถ้าแพร่ไปที่ประสาทสันหลังจะมีอาการขาชาและอ่อนแรง ถ้าแพร่ไปที่สมองแล้วจะมีอาการปวดศีรษะ เดินโซเซหรือแขนขาอ่อนแรง ในส่วนของการดูแลตัวเอง หากมีอาการผิดปกติของการปัสสาวะดังกล่าวมาข้างต้น ควรรีบไปพบแพทย์ หากพบว่าเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก ควรรีบเข้ารับการรักษาจะทำให้มีชีวิตที่ยืนยาม และใช้กิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ และการป้องกันนั้นก็ป้องกันและดูแลตัวเองเหมือนผู้ที่ป้องกันตนเองจากมะเร็งชนิดอื่นได้แก่ – หลีกเลี่ยงอาหารมัน ไขมันสูง หรือเนื้อแดง – ทานผัก ผลไม้สด ธัญพืช ถั่วเหลืองและเต้าหู้ให้มาก ๆ – ทานมะเขือเทศที่ปรุงสุกแล้ว มะละกอ แตงโม หรือผลไม้ที่มีไลโคปีนสูง…