Author: pure

  • ป้องกันภัยจากแสงแดด

    ป้องกันภัยจากแสงแดด

    ป้องกันภัยจากแสงแดด ประโยชน์ของแสงแดดนั้นช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสามารถดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่กระแสเลือดได้มากขึ้น โดยผิวหนังของคนเราจะสามารถสร้างวิตามินดีได้เมื่อได้รับแสงยูวีบี โดยที่ไม่จำเป็นต้องรับแสงแดดมากนัก เพียงปล่อยให้แสงแดดอ่อนยามเช้าก่อนแปดโมงได้ส่องไปทั่วใบหน้าแขนขา เป็นเวลา 10-15 นาที สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ไปตลอดทั้งปีก็เพียงพอแล้ว แต่แม้แสงแดดจะมีประโยชน์ แต่ก็ก่อโทษกับผิวหนังได้ด้วยเช่นกัน ในแสงแดดนั้นประกอบไปด้วยรังสีที่ตาเปล่ามองไม่เห็นก็คือ รังสียูวี ก่อให้เกิดโทษต่อผิวหนังได้แก่ – เมื่อผิวหนังสัมผัสกับรังสียูวีเพียงเล็กน้อยในยามแดดจัดก็ทำให้คอลลาเจนใต้ผิวหนังเสื่อมสภาพได้ ก่อให้เกิดอนุมูลอิสระขึ้นใต้ผิวหนัง จนอาจทำลายเซลล์รอบ ๆ เกิดเป็นมะเร็งผิวหนัง – แสงแดดทำร้ายผิวของเราได้ทุกฤดูกาล ไม่จำกัดว่าเป็นแดดอ่อน หรือแดดจัด ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาและความเข้มของรังสียูวีในแสงแดด – ผิวที่เหี่ยวย่น โรยรานั้นเกิดจากการที่ผิวต้องตรากตรำอยู่กลางแดด ทำให้ดูแก่ก่อนวัย ส่วนใหญ่พบได้ในคนที่ทำงานกลางแจ้งได้แก่ ผู้ใช้แรงงาน ชาวสวน ชาวนา ชาวไร่ จึงดูแก่กว่าคนที่นั่งทำงานในห้องแอร์ วิธีป้องกันแสงแดดนั้น 1. อย่าออกไปตากแดดจัดกลางแจ้งเป็นเวลานาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงเวลา 10.00-16.00 น. เพราะรังสียูวีกว่าร้อยละ 80 จะส่องลงมาในเวลาดังกล่าว สามารถสะท้อนได้ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นผิวน้ำ พื้นถนน ซีเมนต์ ป้ายโฆษณา กระจก ทราบ ผนังอาคาร ฯลฯ…

  • เฝ้าระวัง…โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่

    เฝ้าระวัง…โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่

    เฝ้าระวัง…โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ในประเทศไทยนั้นพบผู้ป่วยเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ในผู้ชายมากเป็นอันดับสาม รอบจากมะเร็งตับและมะเร็งปอด ในส่วนผู้หญิงพบเป็นอันดับที่ห้า โรคนี้นั้นยังไม่พบสาเหตุที่ชัดเจนแต่มีปัจจัยเสี่ยงหลายอย่างได้แก่ – อายุมากกว่า 50 ปีขึ้น – มีคนในครอบครัวเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่มาก่อน – มีประวัติเคยเป็นมะเร็งรังไข่ มะเร็งปากมดลูก หรือมะเร็งเต้านมก่อน – ตรวจพบเคยมีติ่งเนื้อในลำไส้ใหญ่หรือโรคลำไส้ใหญ่อักเสบมาก่อน – มีภาวะโรคอ้วน สูบบุหรี่ – ฯลฯ ผู้ที่มีอาการดังต่อไปนี้ควรรีบไปพบแพทย์ เพื่อตรวจหามะเร็งลำไส้ใหญ่โดยด่วน ได้แก่ อุจจาระมีมูกเลือดหรือเป็นสีดำ หรือสีดำแดง หรือการขับถ่ายเปลี่ยนไป เช่น ท้องผูกสลับท้องเสีย หรือท้องผูกและท้องเสีย ขนาดของอุจจาระเล็กกว่าปกติ รู้สึกเหมือนถ่ายไม่สุด แน่นท้อง อึดอัดท้อง ปวดท้อง อาเจียน อ่อนเพลีย น้ำหนักลดโดยไม่รู้ตัว ฯลฯ การรักษานั้นสามารถทำได้หลายวิธีขึ้นอยู่กับระยะของมะเร็งและตำแหน่งของโรค ทั้งการผ่าตัด การใช้เคมีบำบัด การรักษาด้วยรังสี การใช้หลายวิธีร่วมกัน เป็นต้น การปฏิบัติตัวเพื่อลดความเสี่ยงการเป็นมะเร็งได้แก่ การกินอาหารที่ปรุงสุกสะอาด กินผักและผลไม้มาก ๆ เพิ่มกากใยในลำไส้ เพื่ออุจจาระได้ง่าย หลีกเลี่ยงอาหารรสหวานจัด มีไขมันสูง รักษาน้ำหนักตัวให้ได้มากตรฐาน ออกกำลังกายสม่ำเสมอและงดการสูบบุหรี่…

  • มะเร็งปากมดลูก เกิดจากไวรัส HPV

    มะเร็งปากมดลูก เกิดจากไวรัส HPV

    มะเร็งปากมดลูก เกิดจากไวรัส HPV สาเหตุการตายอันดับหนึ่งของผู้หญิงไทยนั้น คือ มะเร็งปากมดลูก แต่ละปีมีผู้เสียชีวิตจากโรคนี้กว่าหกพันคน และมีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มเป็นหมื่น ๆ คน ซึ่งสาเหตของมะเร็งปากมดลูกนี้เกิดจากไวรัสชนิดหนึ่ง โดยมักติดเชื้อในผู้หญิงที่ผ่านการมีเพศสัมพันธ์ทุกคนแล้วมีความเสี่ยงทั้งสิ้น มะเร็งปากมดลูกเกิดจากการติดเชื้อไวรัสที่ชื่อว่า ฮิวแมน แพปพิลโลม่า หรือไวรัส HPV โดยผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกร้อยละ 99.7 ติดเชื้อชนิดนี้ สามารถติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้เพราะเชื้อนี้จะอยู่บริเวณอวัยวะเพศของหญิงและชาย โดยร้อยละ 80-90 ของผู้ติดเชื้อจะหายไปเอง ส่วนที่เหลือจะอยู่ที่ปากมดลูก เมื่อนานไป เนื้อเยื่อหรือเซลล์ของปากมดลูกผิดปกติ จะเกิดการเปลี่ยนแปลงในเซลล์จนกลายเป็นมะเร็งได้ในที่สุด ยิ่งมีเพศสัมพันธ์อายุน้อยเท่าไรก็ยิ่งติดเชื้อได้ง่ายเท่านั้น ซึ่งปัจจัยการติดเชื้อ HPV จนกลายเป็นมะเร็งปากมดลูกได้นี้ ได้แก่ – การมีคู่นอนหลายคน – มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุน้อย – เคยเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ – กินยาคุมกำเนิดเกิดห้าปี – ไม่เคยได้รับการตรวจมะเร็งปากมดลูก – สามีเป็นมะเร็งที่องคชาติ – หญิงที่ไปแต่งงานกับชายที่เคยมีภรรยาเป็นมะเร็งปากมดลูก หรือชายเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ – หญิงที่ไปแต่งงานกับชายที่มีคู่นอนหลายคน – หญิงที่สูบบุหรี่ หรือสัมผัสควันบุหรี่นานเกิดสามชั่วโมงต่อวัน – ผู้ป่วยที่ได้รับยากดภูมิหรือป่วยเป็นโรคเอดส์…

  • ดูแลบาดแผลเล็กๆ น้อยๆ ด้วยตนเอง

    ดูแลบาดแผลเล็กๆ น้อยๆ ด้วยตนเอง

    ดูแลบาดแผลเล็กๆ น้อยๆ ด้วยตนเอง คำว่าบาดแผลเล็กน้อย นั้นหมายถึงบาดแผลที่เกิดจากของมีคมบาง อาจเป็นแผลหนังเปิดเล็กน้อย แผลถลอก มีเลือดออกไม่มาก สามารถห้ามเลือดได้เองโดยการใช้มือกดไว้หรือใช้ผ้าก๊อซพันไว้ เลือดก็หยุดไหลได้เองโดยไม่ต้องใช้ยา หรือการเย็บแผล แผลแบบนี้สามารถเกิดได้ทุกคน ตามมือ แขน เท้า นิ้วมือ ฯลฯ ไม่ต้องดูแลเป็นพิเศษแต่อย่างใด แล้วแผลก็สามารถหายได้เอง แต่บางคนก็ไม่เป็นเช่นนั้น แผลอาจไม่หาย มีหนองอักเสบ นั่นก็เป็นเพราะการขาดการดูแลของเจ้าของแผลเอง ผู้ที่มักมีบาดแผลอักเสบ ไม่หายไปง่าย ๆ นั้นมักจะเป็นผู้ป่วยโรคเบาหวาน ซึ่งควารดูแลการเกิดแผลอักเสบมากกว่าคนปกติธรรมดา ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานนั้นจะมีอาการชาตามปลายมือปลายเท้า มีความรู้สึกน้อยกว่าคนปกติทั่วไป ผู้ป่วยเบาหวานจึงควรระวังการติดเชื้ออักเสบและการลุกลามของแผลเป็นพิเศษ หมั่นล้างมือล้างเท้าให้สะอาด สังเกตว่ามีแผลถลอมเกิดขึ้นบ้างหรือไม่ เพราะอาการชาอาจทำให้ไม่รู้สึกตัว หมั่นตัดเล็บ หรือถ้าให้คนอื่นตัดให้ก็บอกให้เราระวังเป็นพิเศษ ข้อปฏิบัติง่าย ๆ สำหรับผู้ป่วยเบาหวานและคนทั่วไปในการดูแลบาดแผล มีดังต่อไปนี้ – เมื่อเกิดบาดแผลขึ้นให้ล้างแผลด้วยน้ำสะอาดและสบู่ ใช้ผ้าซับแผลให้แห้ง แล้วทาด้วยโพรวิโดน ไอโอดีน (เบตาดีน, ไอโปดีน หรือ โพวาดีน สำหรับใส่แผลถลอก แผลสดขนาดเล็ก) ทาบาง ๆ ครั้งเดียว แต่หากแผลเกิดอักเสบ…

  • ระวังไว้บ้างกับการทานพืชผักเป็นยา

    ระวังไว้บ้างกับการทานพืชผักเป็นยา

    ระวังไว้บ้างกับการทานพืชผักเป็นยา หลายปีก่อนมีกระแสการกินมะรุมเป็นยาบำรุงสุขภาพกันอย่างกว้างขวาง ไม่ว่าจะกินเป็นยาสกัดหรือกินสด ๆ มักจะกินกันเป็นประจำทุกวัน เป็นแรมเดือนแรมปี เพราะมีเอกสารออกมาเผยแพร่ถึงประโยชน์อีกมากมายของมะรุม คนเลยหาต้มมาปลูกหายามากินกันเป็นล่ำเป็นสัน ทั้งที่ความจริงแล้วผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรอย่าง ดร.กรณ์กาญจน์ ภมรประวัติ ได้เคยเขียนหนังสือระบุไว้เพียงว่าพืชผักเหล่านี้นั้นมีสารเคมีอะไร มีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างไรบ้าง ไม่ได้ตั้งใจให้ทำเป็นยาหรือกินทุกวันเพื่อรักษาสุขภาพ โดยที่คนสมัยก่อนนั้นกินฝักมะรุมแล้วสุขภาพดี เพราะกินเป็นกับข้าวอย่างเอามาทำแกงส้ม หรือนำใบจิ้มน้ำพริก ก็จะกินกันเป็นครั้งคราวไม่ได้กินทุกวัน การที่คนในยุคปัจจุบันหันมาบริโภคอย่างเอาเป็นเอาตายทุกวัน จึงอาจก่อให้เกิดโทษภัยต่อสุขภาพได้มากกว่า รวมทั้งยังเคยมีกรณีศึกษาเกี่ยวกับพืชผักสมุนไพรเหล่านี้อีกหลายกรณี – หลายสิบปีก่อนเคยมีเจ้าหน้าที่สาธารณสุขท่านหนึ่งนำเอามะเกลือมาปรุงเป็นยา โดยการต้มเป็นหม้อใหญ่ ๆ ทิ้งค้างคืนไว้ รุ่งขึ้นก็ตึกแจกจ่ายเด็ก ๆ ตามหมู่บ้านกินกันถั่วหน้า ปรากฏว่ามีเด็กหลายคนตามัว ตาบอด เพราะได้รับพิษจากสารเคมีในมะเกลือที่กลายรูปจากการตั้งทิ้งไว้ค้างคืน – เรื่องของใบขี้เหล็กก็เคยเป็นข่าวมาแล้ว ที่เชื่อกันว่ามีสรรคุณเป็นยากล่อมประสาทและยานอนหลับนั้น ก็ได้มีการทดสอบกับหนูว่าไม่เกินพิษเฉียบพลัน ทำให้ผู้ที่ประสบปัญหานอนไม่หลับเป็นจำนวนมากหันมากินยาใบขี้เหล็กแคปซูลกันเป็นแถว ปรากฏว่ามีผู้ป่วยหลายรายที่มีอาการดีซ่าน มาเข้ารักษากับแพทย์ และก็ถูกวินิจฉัยว่าเป็นตับอักเสบจากการบริโภคขี้เหล็กแคปซูลเป็นเวลาติดต่อกันหลายเดือน จึงต้องยกเลิกการผลิตไปเพราะไม่ปลอดภัย – สมุนไพรที่มีพิษต่อตับอีกชนิดก็คือ บอระเพ็ดนั้นเอง ซึ่งมีสรรพคุณช่วยลดน้ำตาลในเลือด แต่เมื่อให้ผู้ป่วยเบาหวานกินทุกวันก็ทำให้ตับอักเสบได้ ดังนั้นการจะเลือกกินพืชผักอะไรก็ตาม หากยังไม่มีข้อพิสูจนได้ว่าปลอดภัยและได้ผล รวมถึงไม่มีผลข้างเคียงจริง ก็หลีกเลี่ยงดีกว่านะคะ ควรหันมาบริโภคพืชผักในรูปแบบที่ปู่ย่าตายายเราเคยทำกันมาแต่โบราณจะดีกว่าค่ะ

  • วิธีง่าย ๆ ในการป้องกันและลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็ง

    วิธีง่าย ๆ ในการป้องกันและลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็ง

    วิธีง่าย ๆ ในการป้องกันและลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็ง ทุกวันนี้มีการค้นพบว่ามนุษย์เราสามารถเป็นมะเร็งตามอวัยวะส่วนต่าง ๆ ได้กว่าร้อยชนิดแล้วนะคะ ซึ่งแม้จะมีการตรวจค้นและการรักษาที่ดีเพียงไร แต่มะเร็งบางชนิดก็อาจรักษาได้ไม่หายขาด และอาจกลับมาเป็นใหม่ได้ทุกเมื่อ รวมไปถึงอีกส่วนที่อาจรักษาไม่ได้และต้องเสียชีวิตไป ปี ๆ หนึ่งเป็นจำนวนมาก จะดีกว่าไหมที่เราจะหันมาป้องกันและลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเสียก่อน เพื่อป้องกันปัญหาที่จะตามมา การป้องกันมะเร็งนั้น สามารถทำได้ดังนี้ – ทานอาหารที่มีเส้นใยอาหารมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็น ผัก ข้าวซ้อมมือ ข้าวกล้อง โฮลวีต โฮลเกรน เมล็ดธัญพืชชนิดต่าง ๆ ช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ – กินกะหล่ำและผักในตระกูลเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น กะหล่ำดอก กะหล่ำปลี ผักกาด ผักคะค้า ฯลฯ ต่าง ๆ เหล่าช่วยป้องกันมะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งลำไส้ใหญ่ และระบบทางเดินหายใจ – ทานอาหารที่มีวิตามินซี ป้องกันมะเร็งหลอดอาหาร กระเพาะอาหาร – ทานอาหารที่มีวิตามินเอ และเบต้าแคโรทีน ที่พบได้ในผักผลไม้สีเหลือง สีเขียวเข้ม ป้องกันมะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งกล่องเสียงและมะเร็งปอดได้ – รักษาน้ำหนักตัวไม่ให้ไม่อ้วน…

  • การป้องกันตัวเองจากโรคหวัดทุกชนิด

    การป้องกันตัวเองจากโรคหวัดทุกชนิด

    การป้องกันตัวเองจากโรคหวัดทุกชนิด เดี๋ยวนี้โรคไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่ต่างก็มีสายพันธ์ต่าง ๆ พัฒนามากขึ้น มีทั้งที่เป็นอันตรายถึงชีวิต และชนิดที่ทำให้เกิดอาการเจ็บป่วย แม้ไข้หวัดใหญ่ 2009 จะเงียบไปแล้ว แต่เราก็ไม่ควรประมาท ควรดูแลตนเองและคนใกล้ชิด ลูกเด็กเล็กแดง และคนชราให้เตรียมพร้อมไว้ ด้วยการทำสุขภาพให้แข็งแรงและห่างไกลจากโรคกันดีกว่า ในส่วนของบุคคลทั่วไปที่ยังไม่เจ็บป่วย – ดูแลความสะอาดและอนามัยของตนเองให้ดี ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยน้ำและสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์ – หลีกเลี่ยงการใช้สิ่งของของผู้อื่น – ไม่อยู่คลุกคลีกับผู้ป่วยโรคไข้หวัด – กินอาหารที่มีประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นผักผลไม้ นม ไข่ และกินอาหารปรุงสุกใหม่ ใช้ช้อนกลางทุกครั้ง – นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ – ออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงอย่างสม่ำเสมอ สำหรับผู้ป่วยไข้หวัด ไม่ว่าจะเป็นไข้หวัดสายพันธ์ใดก็ตาม หากยังสามารถกินข้าวได้ มีไข้ไม่สูง อาการไม่รุนแรงมาก ก็ให้ดูแลตนเองโดย – นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อยวันละ 7-8 ชั่วโมงเพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวเร็วขึ้น และไม่นอนดึก – ดื่มน้ำให้มาก ๆ อย่างน้อยวันละ สองลิตรเพื่อลดความร้อนในร่างกายและขับพิษไข้ – ห้ามกินยาแอสไพรินเด็ดขาด หากมีไข้ให้กินยาพาราเซตามอลแทน –…

  • รู้จักกับไข้หวัดใหญ่ H3N2 หรือไข้หวัดใหญ่ไอโอวา

    รู้จักกับไข้หวัดใหญ่ H3N2 หรือไข้หวัดใหญ่ไอโอวา

    รู้จักกับไข้หวัดใหญ่ H3N2 หรือไข้หวัดใหญ่ไอโอวา ไข้หวัดใหญ่ H3N2 หรือไข้หวัดใหญ่ไอโอวา นั้นเป็นเชื้อไข้หวัดใหญ่ที่มียีนมาจากไข้หวัดใหญ่ 2009 ในสหรัฐอเมริกาพบผู้ป่วยแล้วจำนวนสามรายเมื่อช่วงปลายปี 2554 อาการของทุกรายนั้นจะไม่รุนแรง และทุกรายก็สามารถหายได้อย่างเด็ดขาด โดยอาการทั่วไปจะมีลักษณะเหมือนกับไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ได้แก่ การมีไข้ขึ้นแบบทันทีทันใด ปวดหัว ปวดเมื่อเนื้อตัว อ่อนเพลียมาก เจ็บคอ ไอ น้ำมูกไหล และอาการจะหายไปเองในหนึ่งอิทตย์ แต่อาจทำอันตรายกับกลุ่มเสี่ยงเหล่านี้ได้ ได้แก่ผู้ป่วยที่เป็นผู้สูงอายุ อายุ 65 ปีขึ้นไป, เด็กอายุน้อยกว่าสองขวบ, ผู้ที่เจ็บป่วยเรื้อรัง เช่น เบาหวาน โรคไต โรคหัวใจ โรคปอด หรือภูมิคุ้มกันบกพร่อง ฯลฯ, เด็กที่ได้รับยาแอสไพรินเป็นเวลานาน, หญิงตั้งครรภ์ระยะที่ 2 หรือ 3 ในฤดูกาลที่มีไข้หวัดใหญ่สูง, ผู้ที่ป่วยเป็นโรคอ้วน รวมไปถึงผู้พิการทางสมองที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ การติดต่อนั้นก็เหมือนกับโรคไข้หวัดใหญ่ทั่วไป คือติดต่อทางลมหายใจ การไอ การจาม การสัมผัสสิ่งของที่มีเชื้อปนเปื้อนอยู่ ระยะฟักตัวจะอยู่ในช่วงประมาณ 1-3 วัน ระยะแพร่เชื้อจะอยู่ในช่วงตั้งแต่ 1 วันก่อนมีอาการ…

  • 4 เคล็ดลับป้องกันการเกิดแก๊สในกระเพาะอาหาร

    4 เคล็ดลับป้องกันการเกิดแก๊สในกระเพาะอาหาร

    4 เคล็ดลับป้องกันการเกิดแก๊สในกระเพาะอาหาร แก๊สที่อยู่ในกระเพาะหรือทางเดินอาหารของเรานั้น ส่วนใหญ่แล้วเกิดจากการที่เรากลืนลงท้องไปนั่นเอง อาจจะติดตามไปกับการกลืนอาหาร กลืนน้ำ กลืนน้ำลาย และอีกส่วนก็คือการเกิดแก๊สในร่างกายจากย่อยอาหารในลำไส้ เช่น พวกนมหรือถั่วเป็นต้น การระบายแก๊สในกระเพาะส่วนมากก็จะเป็นการเรอออกมา หากเป็นแก๊สในลำไส้นั้นสามารถซึมผ่านผนังลำไส้ใหญ่ได้ แต่หากดูดซึมไม่ทันก็อาจเกิดสิ่งที่เรียกว่า การผายลมออกมาได้ การผายลมและการอุจจาระนั้นต้องนับว่าเป็นเรื่องเดียวกัน เพราะเป็นการระบายของเสียออกจากร่างกายด้วยการบีบตัวของลำไส้ใหญ่ เพียงแต่การผายลมจะเป็นแก๊ส หากไม่มีการผายลม แก๊สก็จะสะสมอยู่ในทางเดินอาหารจนรู้สึกอึดอัด ปวดมวนแน่นท้อง ทำให้ท้องอืดขึ้นจึงควรป้องกันปัญหาเหล่านี้โดย – เวลาทานอาหารให้เคี้ยวให้ละเอียดที่สุด เพื่อให้อาหารถูกย่อยได้ง่ายขึ้น ไม่ควรพูดคุยมากเกินไปเพราะจะทำให้อากาศเข้าสู่ทางเดินอาหารมากเกินไปด้วย – หลีกเลี่ยงการอมลูกอม สูบบุหรี่ ดื่มน้ำอัดลมเคี้ยวหมากฝรั่ง เพราะทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหารได้ – กินอาหารที่หลากหลาย และให้ครบหมู่ จะทำให้การย่อยอาหารดีขึ้น ไม่ควรกินเนื้อสัตว์มากไปเพราะจะเกิดการหมักหมมและเกิดแก๊สมากขึ้น รวมไปถึงถั่วชนิดต่าง ๆ กะหล่ำปลี ดอกกะล่ำ ขนมปังสด กาแฟ ช็อกโกแลต แตงกวา ของทอด นม ก็ทำให้เกิดแก๊สได้มากเช่น การ ดื่มนมโยเกิร์ตหรือนมเปรี้ยวจะช่วยให้ระบบการย่อยอาหารดีขึ้น ลดการเกิดแก๊สได้ – ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ระบบทางเดินอาหารทำงานดีขึ้น ช่วยขับลมด้วย ซึ่งจะออกมาทั้งในรูปแบบของการเรอและการผายลมนั่นเอง ผู้ที่มักมีปัญหาอึดอัดแน่นท้อง…

  • 7 วิธีป้องกันกระดูกพรุนเมื่อเข้าสู่วัยชรา

    7 วิธีป้องกันกระดูกพรุนเมื่อเข้าสู่วัยชรา

    7 วิธีป้องกันกระดูกพรุนเมื่อเข้าสู่วัยชรา จะเห็นได้ว่าเมื่อคนสูงอายุกันมากขึ้น ร่างกายจะดูเตี้ยลง หลังค่อมและขาโก่งขึ้น บางคนแค่เพียงประสบอุบัติเหตุลื่นหกล้มหรือโดนกระแทกเบา ๆ กระดูกก็หักแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นนี้เกิดจากภาวะกระดูกพรุนหรือกระดูกบางตัวลงนั่นเอง กระบวนการนี้เกิดจากการที่กระดูกเรามีการสร้างตัวและสลายตัวออกมาในรูปของแคลเซียมเข้าสู่กระแสเลือดตลอดเวลา หากร่างกายได้รับแคลเซียมไม่มากพอก็จะสูญเสียมวลกระดูกไปเรื่อย ๆ จนกระดูกบางในที่สุด ในเด็กจะมีการสร้างมวลกระดูกมากกว่าสลายตัว กระดูกจึงแข็งแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงจุดสูงสุดเมื่ออายุ 30-35 ปี แล้วหลังจากนั้นก็จะค่อย ๆ บางตัวลงเพราะมีการสลายตัวมากกว่าสร้าง ยิ่งผู้หญิงด้วยแล้วยิ่งมีการสลายตัวมากกว่าผู้ชายถึง 3 เท่า เนื่องจากภาวะของฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ลดลงในวัยทอง หรือวัยหมดประจำเดือน การดูแลสุขภาพของกระดูกจึงควรเริ่มต้นตั้งแต่ก่อนอายุ 30 ปี หากพ้นจากนี้แล้วร่างกายจะไม่สามารถสะสมเนื้อกระดูกให้แข็งแรงได้ การป้องกันกระดูกพรุนจึงควรเตรียมพร้อมไว้ดังต่อไปนี้ 1. ทานอาหารที่มีแคลเซียมให้มาก ไม่ว่าจะเป็น นม โยเกิร์ต ปลาเล็กปลาน้อย กุ้งฝอย กระดูกอ่อนของสัตว์ เต้าหู้แข็ง ถั่วแดง ผักใบเขียว ทานสลับกันไปทุกวัน เพราะการจะมีกระดูกแข็งแรงได้นั้นมิได้อาศัยแต่เพียงแคลเซียมอย่างเดียว แต่ต้องการสารอาหารที่หลากหลายด้วย 2. ควรหมั่นออกกำลังกายที่มีการลงน้ำหนัก เช่น การเดิน การวิ่ง การขึ้นลงบนได กระโดดเชือก เต้นแอโรบิก เพราะกระตุ้นให้ร่างกายดูดแคลเซียมให้มากขึ้น…