Author: pure

  • จัดการความเครียดให้อยู่หมัดใน 4 วิธี

    จัดการความเครียดให้อยู่หมัดใน 4 วิธี

    จัดการความเครียดให้อยู่หมัดใน 4 วิธี แทบทุกคนต่างก็ต้องเผชิญกับความเครียดได้ทั้งสิ้น หากไม่ได้รับการแก้ไขปรับปรุงหรือตั้งรับให้ดีแล้ว ความเครียดก็จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพได้ ไม่ว่าจะเป็น โรคกระเพาะอาหาร โรคความดันโลหิต โรคหัวใจ ฯลฯ ซึ่งความเครียดนี้เกิดได้หลายปัจจัยทั้งทางด้านการเงิน การงาน ความสัมพันธ์ สุขภาพ และปัญหาอื่น ๆ การจัดการความเครียดนั้นทำได้หลายแบบ และสี่วิธีนี้คือหนึ่งในวิธีที่ดี 1. หลีกเลี่ยงสถานการณ์หรือบุคคลที่ทำให้เราเครียด ด้วยการรู้จักปฏิเสธ เลี่ยงการเผชิญหน้า ปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อม หลีกเลี่ยงการพูดคุยกับผู้ที่มีความคิดเห็นไม่ตรงกัน แล้วเรียงลำดับความสำคัญของสิ่งที่ต้องทำในชีวิต 2. เปลี่ยนสิ่งที่ทำให้เครียด ด้วยการบอกความรู้สึกของเราต่อผู้ที่ทำให้เราเครียดด้วยความนุ่มนวล หรือการปรับเปลี่ยนตนเองที่เป็นสาเหตุทำให้คนอื่นเครียด จัดสรรเวลาทำงานให้ดีขึ้น เพราะการทำงานหนักหรือทำกิจกรรมต่าง ๆ จนยุ่งทั้งวันนั้นไม่ใช่เรื่องดี จะทำให้เหนื่อยล้าเกินไปและเกิดความเครียดได้ง่ายขึ้นด้วย 3. ปรับตัวให้เข้ากับความเครียด ถ้าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ลองปรับเปลี่ยนตัวเองให้ยอมรับหรือเปลี่ยนทัศนคติหรือความคาดหวังจากเดิมไปบ้าง มองปัญหาในมุมใหม่ มองในด้านดี ลดมาตรฐานลง คนที่อยากให้ทุกอย่างสมบูรณ์แบบมักจะเครียดง่ายและทำให้คนอื่นเครียดไปด้วย 4. ยอมรับความเครียด หากหนี ปรับเปลี่ยนหรือควบคุมสาเหตุของความเครียดบางอย่างไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นความเจ็บป่วยด้วยโรคร้ายแรง ภาวะการเงินตกต่ำ หรืออุบัติเหตุที่คาดไม่ถึง วิธีนี้ทำได้ยากที่สุด แต่ดีที่สุดในทุกวิธีที่บอกมา รวมไปถึงการให้อภัยทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ลดความขุ่นเคืองและลดความเครียดลงได้ จนสามารถมองเห็นทางออกของปัญหาได้ด้วย…

  • ไตวาย ไม่ตายไว ถ้ากินได้แบบนี้

    ไตวาย ไม่ตายไว ถ้ากินได้แบบนี้

    ไตวาย ไม่ตายไว ถ้ากินได้แบบนี้ ผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะไตวายเรื้อรังนั้น สามารถมีสุขภาพที่แข็งแรงและอายุที่ยาวนานขึ้นได้ด้วยการทำความเข้าใจกับสุขภาพและโรคภัยไข้เจ็บของตนเอง และบทความในวันนี้จะขอนำเอาเคล็ดลับที่อ่านเข้าใจง่ายของผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังรายหนึ่งที่ดูแลสุขภาพของตนเองมาได้ถึง 22 ปี ทั้ง ๆ ที่อยู่ในภาวะไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายมานานแล้ว เธอมีอายุ 62 ปี และดูแลการกินอาหารของตนเองดังต่อไปนี้ค่ะ – หลีกเลี่ยงอาหารที่มีความเค็มด้วยการทำอาหารทานเองที่บ้าน ไม่ใส่เกลือ น้ำปลา เครื่องปรุงรสอื่น ๆ – กินอาหารนอกบ้านจะไม่เติมเครื่องปรุง ถ้ากินก๊วยเตี๋ยวจะสั่งเป็นแห้ง และไม่เติมผลชูรส – กินโปรตีนแต่พอดี ๆ เพราะกินมากจะมีของเสียผ่านไตมาก ไตจะทำงานหนัก และไม่น้อยเกินไปเพราะอาจทำให้ขาดสารอาหารและกล้ามเนื้อลีบได้ – ระวังการกินถั่ว และน้ำเต้าหู้ต่าง ๆ ด้วย ถ้าอยากกิน กินได้แค่คำหรือสองคำเท่านั้น รวมไปถึงเต้าหู้และโปรตีนเกษตรด้วย เพราะในธัญพืชมีฟอสฟอรัสมาก จะเปลี่ยนเป็นฟอสเฟตในเลือดที่จะไปดึงแคลเซียมออกมาจากกระดูกทำให้กระดูกบาง – ไขมันกินมาก ๆ จะอ้วน และไขมันสูงทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ แต่ก็งดไม่ได้เพราะจำเป็นต่อการดูดซึมวิตามิน ADEK แต่จะเลือกกินเป็นไขมันไม่อิ่มตัว พวกน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันมะกอก น้ำมันดอกคำฝอย รำข้าวและงา –…

  • กินยาหลายอย่างระวังยาตีกัน

    กินยาหลายอย่างระวังยาตีกัน

    กินยาหลายอย่างระวังยาตีกัน ในปัจจุบันนี้คนป่วยกันมากขึ้น จึงทำให้ต้องกินยามากขึ้นกว่าเดิม บางคนก็เป็นหลายโรคด้วย จึงต้องใช้ยาหลายชนิด ยิ่งคนที่เป็นโรคเรื้อรังด้วยแล้ว ยาที่ทานอยู่ประจำ ๆ นั้น ยาจากหลายโรคที่กินอาจ “ตีกัน” ได้ ซึ่งยาตีกันนี้มักให้โทษมากกว่าให้คุณ เป็นปัญหาที่พบได้บ่อย ซึ่งจะขอยกตัวอย่างยาตีกันที่พบได้บ่อย ๆ ดังต่อไปนี้ค่ะ – ยาอะม็อกซีซิลลินกินร่วมกับยาเม็ดคุมกำเนิด โดยยาอะม็อกซีซิลลินจะไปมีผลต่อเชื้อจุลชีพในการเดินอาหาร รบกวนการดูดซึมยาคุมกำเนิดทำให้ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้น้อยลง จึงมีประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดน้อยลง จนอาจทำให้ตั้งครรภ์ได้ ดังนั้นหากอยู่ระหว่างการใช้ยาคุมกำเนิดแต่มีความจำเป็นต้องใช้ยาอะม็อกซีซิลลิน ก็ให้คุมกำเนิดด้วยวิธีอื่นร่วมไปด้วย เช่น ถุงยางอนามัย ควรใช้ตั้งแต่วันแรกที่ทานยาอะม็อกซีซิลลินและใช้เรื่อยไปจนหลังจากหยุดใช้ยาไปแล้วอีก 1 อาทิตย์ด้วย – การใช้ยากลุ่มอิริโทรไมซิน รวมกับยาลดไขมันในเลือดสแตติน เพราะยาอิริโทรไมซินจะไปยับยั้งการทำลายยากลุ่มสแตติน ทำให้ยาคงอยู่ในร่างกายนานและมีปริมาณที่มากขึ้น มีการสะสมกลุ่มยาสแตตินในเลือดเพิ่มจนกลายเป็นพิษ ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง ลีบ ปวด และเป็นพิษต่อไตได้ด้วยซึ่งตัวอย่างของยาในกลุ่มนี้ได้แก่ ซิมวาสแตติน อะโทรวาสแตติน โลวาสแตติน เป็นต้น ควรเปลี่ยนไปใช้ยาสแตตินกลุ่มอื่นที่ไม่เกิดผลแทน เช่น พราสแตติน ฟลูวาสแตติน ฯลฯ – การใช้ยาแก้ปวดกลุ่มเอ็นเอสดร่วมกับยาลดน้ำตาลในเลือด เพราะยาลดน้ำตาลในกลุ่มซัลโฟนิลยูเรีย หากทานร่วมกับยาแก้ปวดอักเสบข้อและกล้ามเนื้อ กลุ่มเอ็นเสด เช่น…

  • ความจริงเกี่ยวกับ DHA และ ARA ในนมผสมของทารก

    ความจริงเกี่ยวกับ DHA และ ARA ในนมผสมของทารก

    ความจริงเกี่ยวกับ DHA และ ARA ในนมผสมของทารก ปัจจุบันนี้มีนมผสมที่ใช้เลี้ยงทารกออกมาจำหน่ายกันหลายยี่ห้อมาก บางยี่ห้อก็อวดอ้างว่ามีส่วนผสมของ DHA และ ARA ที่ช่วยพัฒนาสมองของลูกน้อยได้ แล้วยังทำให้พ่อแม่เชื่อจนไปควานหาซื้อมาให้ลูกได้กินเสียด้วย แล้ว DHA และ ARA มันคืออะไรกันแน่ สารทั้งสองตัวนี้กรดไขมันอิ่มตัวโอเมก้า 3 และกรดไขมันโอเมก้า 6 นั่นเองค่ะ ช่วยพัฒนาทั้งสมองและสายตาของทารกได้ เพราะในสมองของเด็กนั้น ร้อยละ 60 จะเป็นไขมัน และร้อยละ 15-20 จะเป็นกรดไขมันสองชนิดนี้ DHA ยังกระจายอยู่ทั่วไปในเซลล์ประสาทสมองและจอตา ในขณะที่ ARA ยังกระจายอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายอีกต่างหาก ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตได้ แต่ว่า.. เด็กทารกที่มีอายุ 4-6 เดือนนั้น ยังมีน้ำย่อยไม่พอเพียงในการสังเคราะห์กรดไขมันทั้งสองชนิด ทำให้ไม่สามารถเปลี่ยนสารตั้งต้นในนมผสมให้กลายเป็น DHA ได้อย่างเต็มที่ แต่ธรรมชาติก็จัดสรรไว้ให้แล้ว เพราะกรดไขมันทั้งสองชนิดนั้นทารกสามารถได้รับจากน้ำนมแม่ได้อย่างเต็มที่ ช่วยปรับสมดุลระบบภายในของทารกได้ ทำให้เซลล์ประสาทและระบบการทำงานทุกส่วนเกิดการพัฒนาไปอย่างสมบูรณ์เต็มที่ ในนมผสมที่โฆษณาว่าเติมสาร DHA และ ARA เข้าไปนั้น…

  • ความแตกต่างระหว่างนมแม่และนมผสม

    ความแตกต่างระหว่างนมแม่และนมผสม

    ความแตกต่างระหว่างนมแม่และนมผสม ในแต่ละปีนั้นมีเด็กแพ้นมวัว หรือนมที่ผสมนมวัวสูงมากถึงปีละสองหมื่นรายเลยทีเดียวนะคะ นอกจากนี้แล้วนมแม่ก็ยังมีประโยชน์กับร่างกายของทารกมากกว่านมผสมอีกด้วย และนี่คือข้อมูลความแตกต่างระหว่างนมทั้งสองชนิดค่ะ ในนมแม่นั้นจะมีโปรตีนเวย์ถึงร้อยละ 70 จึงย่อยได้ง่าย มีอัตราโปรตีนรวมเพียงร้อยละ 0.9 ด้วย และไม่มีโปรตีนที่ทำให้เด็กเกิดอาการแพ้ ในนมแม่มีทอรีนที่มีประโยชน์ต่อจอประสาทตาของเด็ก มีแคลเซียมต่อโพแทสเซี่ยมสูงจึงช่วยพัฒนากระดูกและฟัน สามารถลดและป้องกันกระดูกหักทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ได้ มีสารแลคโตเฟอรินช่วยป้องกันท้องเสีย มีเกลือน้ำดีช่วยให้ย่อยและดูดซึมได้ง่าย มีโปรสตาแกรนดินช่วยเพิ่มการเคลื่อนไหวของลำไส้ และไม่มีแลคโตโกลบุลินซึ่งเป็นสารแปลกปลอมอันก่อให้เกิดภูมิแพ้ รวมไปถึงการให้เด็กทารกได้ดูดนมแม่จะทำให้ฟันกรามสบกันได้พอดี ในขณะที่นมผสมนั้นมีโปรตีนเวย์เพียงร้อยละ 30 จึงย่อยได้ยากกว่า และมีโปรตีนรวมกว่าร้อยละ 3 ซึ่งมากเกินไป มีโปรตีนที่ทำให้เด็กแพ้นมได้ ไม่มีทอรีนอยู่เลย รวมทั้งมีปริมาณแคลเซียมต่อโพแทสเซียมต่ำ จึงทำให้กระดูกพรุนได้ ไม่มีสารแลคโตเฟอรินช่วยป้องกันท้องเสีย และเติมเหล็กลงไปในนมมากเกินไปจนอาจทำให้ท้องเสียได้ง่าย ไม่มีโปรสตาแกลนดิน แต่กลับมีเบร้า แลกโตโกลบุลิน ที่เป็นสารก่อภูมิแพ้ การดื่มนมผสมจากขวดจะทำให้ฟันกรามไม่สบกัน ทีนี้ก็เห็นกันชัด ๆ ไปแล้วว่านมแม่ดีกว่านมผสมนมวัวอย่างไร ทางที่ดีให้ลูกได้กินนมแม่จนถึงอายุหกเดือนเถอะนะคะ จะได้แข็งแรงไปตลอดชั่วอายุขัยเลยค่ะ

  • ใช้เทคนิค 3 อ. ช่วยลดหุ่น

    ใช้เทคนิค 3 อ. ช่วยลดหุ่น

    ใช้เทคนิค 3 อ. ช่วยลดหุ่น วันนี้จะขอนำเอาหลัก 3 อ.ที่ช่วยให้คุณลดหุ่นได้แบบง่าย ๆ มาฝากกันค่ะ อ.แรกก็คือ อารมณ์ หมั่นทำอารมณ์และจิตใจให้แจ่มใสเบิกบาน ตื่นนอนตอนเช้าก่อนลุกจากที่นอนให้หายใจเข้าลึก ๆ ยาว ๆ แล้วใช้เทคนิคประยุกต์จิตใต้สำนึกมาสั่งจิตตัวเองว่า “ฉันเป็นคนจิตใจดี มีความสามารถ ฉันชอบกินข้าวกล้อง กินผัก ฉันชอบเดินออกกำลังกาย บัดนี้..ฉันมีรูปร่างที่สมสัดส่วน” ให้พูดย้ำข้อความทั้งหมดสามรอบ และให้จินตภาพตนเองมีรูปร่างผอมเพรียว และมีรอยยิ้มสดใส ใส่เสื้อผ้าสุดสวยตามต้องการ ให้ทำแบบนี้ทุกวันตั้งแต่ตื่นนอน หรือจะทำตอนเรารู้สึกสบาย ๆ ก่อนนอนก็ยังได้ จะทำให้มีสติในการเลือกกินอาหาร และมีความยับยั้งชั่งใจในการกินมากขึ้น หากเบื่อหรือเครียดก็จะหันไปทำอย่างอื่นที่ไม่ใช่การกินอาหารแทน อ.ต่อมาก็คือ อาหาร เลือกทานอาหารที่มีไขมันต่ำ ปรุงด้วยการต้ม นึ่ง อบ แทนการทอดหรือผัดที่มีน้ำมันเยิ้ม หลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ติดมัน ทานอาหารที่มีกากใยมาก อย่างเช่น ข้าวซ้อมมือ ข้าวกล้อง โฮลวีต ผักและผลไม้ที่ไม่หวาน จำกัดอาหารที่มีแคลอรี่สูง เช่น น้ำตาล น้ำมัน แป้งขัดขาว ตักอาหารแต่พอทาน ใช้จานใบเล็ก…

  • หากคุณกำลังมองหาพี่เลี้ยงเด็ก

    หากคุณกำลังมองหาพี่เลี้ยงเด็ก

    หากคุณกำลังมองหาพี่เลี้ยงเด็ก สำหรับพ่อแม่ยุคใหม่ที่ไม่ค่อยมีเวลาในการดูแลลูกมากนัก เนื่องด้วยสาเหตุทางด้านการงานที่ยุ่งทั้งวัน การมีพี่เลี้ยงเด็กไว้สักคนช่วยดูแลลูกก็น่าจะช่วยให้สบายมากขึ้น แต่การเลือกพี่เลี้ยงเด็กก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ อย่าคิดว่าแค่มาดูแลลูกเรื่องการิยู่ การหลับนอนเท่านั้น แต่ความจริงแล้วบทบาทของพี่เลี้ยงเด็กนั้นก็สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการเลี้ยงดูจากพ่อแม่เลย เพราะพี่เด็กต้องเข้ามาให้ความรักความอบอุ่น ความปลอดภัยมั่นคง สามารถรับรู้อารมณ์ความต้องการของเด็กและตอบสนองได้อย่างถูกต้อง ซึ่งหาไม่ได้ง่าย ๆ เลยทีเดียว นอกจากนั้นคุณสมบัติที่พี่เลี้ยงเด็กต้องมีอีกก็คือ ความสามารถสร้างกิจกรรมการเล่น และมีปฏิสัมพันธ์กับเด็กอย่างเหมาะสม และจัดสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมได้ เพราะเหล่านี้จะเป็นปัจจัยที่จะทำให้สมองของเด็กเติบโตไปอย่างเต็มที่ มีพัฒนาการทางสติปัญญา บุคลิกภาพ ไอคิวและอีคิว ในเด็กทารกจนถึงอายุ 3 ขวบเป็นช่วงที่เด็กมีพัฒนามากและเร็วที่สุด การพิจารณาเลือกพี่เลี้ยงเด็กจึงควรเลือกที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไปเพื่อให้มีวุฒิภาวะทางอารมณ์และมีวิจารณญาณมากพอ มีบุคลิกลักษณะและนิสัยรักความสะอาด มีความละเอียด ใจเย็น รักเด็กและทนเสียงลูกของเราร้องได้ด้วย เหนืออื่นใดก็คือ ต้องเป็นคนที่ไว้วางใจได้ ต้องแน่ใจว่าอยู่กับลูกของเราแล้วจะไม่ทอดทิ้งหรือทำร้ายเด็ก มีประสบการณ์ในการดูแลเด็ก มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ไม่มีโรคติดต่อ ซึ่งก่อนจะเลือกใครมาเป็นพี่เลี้ยงให้ลูกนั้น ต้องพบปะพูดคุยทัศนคติและคุณสมบัติต่าง ๆ ว่าเหมาะสมหรือไม่รู้ ควรรู้จักหัวนอนปลายเท่า หรือรู้จักว่าใครเป็นใครจะดีที่สุด แต่พี่เลี้ยงเด็กก็ยังคือพี่เลี้ยง เป็นคนที่เข้ามาช่วยผ่อนแรงพ่อแม่เท่านั้น พ่อกับแม่คือผู้ที่ต้องดูแล อยู่กับลูกและให้เวลาลูกมากที่สุดอยู่ดีค่ะ

  • ภัยจากการแพ้นมวัวในเด็กเล็ก

    ภัยจากการแพ้นมวัวในเด็กเล็ก

    ภัยจากการแพ้นมวัวในเด็กเล็ก ส่วนใหญ่แล้วเด็กที่มีเด็กที่แพ้โปรตีนในนมวัวนั้น กว่าครึ่งจะแสดงอาการออกมาให้เห็นตั้งแต่อายุน้อยกว่า 1 เดือน โดยจะแสดงอาการเป็นผื่น รองลงมาเป็นอาการทางระบบทางเดินอาหาร ในจำนวนของเด็กที่กินนมวัวก่อนอายุครบหกเดือนนั้น ครึ่งหนึ่งจะแพ้นมวัว โดยจะมีอาการอย่างละเอียดดังต่อไปนี้ 1. แสดงอาการที่ระบบทางเดินอาหาร มักจะปวดท้อง ท้องอืด ท้องผูก ท้องเสีย โคลิก อาเจียน กรดไหลย้อน ถ่ายเป็นเลือดและน้ำหนักขึ้นน้อย 2. มีอาการผิวหนังอักเสบ มีผื่นคัน ชันตุ น้ำเหลืองเยิ้ม ลมพิษ ผิวแห้ง 3. มีปัญหาในระยะหายใจ ทั้งการนอนกรน คัดจมูก น้ำมูกไหล คันตาคันจมูก เลือดกำเดาไหล มีเสมหะในคอ หอบหืด กระแอมบ่อย ไซนัสอักเสบ ทอลซิลอักเสบ หูชั้นล่างอักเสบ ต่อมอดีนอยด์โต ต่อมน้ำเหลืองโต ตับและม้ามโต ภาวะหลับตายเนื่องจากแพ้โปรตีนนมวัว 4. มะเร็งในส่วนต่าง ๆ ทั้งต่อมน้ำเหลือง เต้านม รังไข่ ต่อมลูกหมาก ปอด ไต ตับ ลำไส้…

  • อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากการดื่มสุรา

    อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากการดื่มสุรา

    อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากการดื่มสุรา กว่าครึ่งของการตายจากอุบัติเหตุที่เกิดบนท้องถนนนั้น เกิดจากผู้ขับขี่เมาสุรา นอกจากนี้ยังเป็นสาเหตุในเกิดอุบัติเหตุตามสถานที่ต่าง ๆ ทั้งที่บ้าน ที่ทำงานและที่สาธารณะอื่น ๆ อีกด้วย ในผู้ที่ดื่มสุราจนมีระดับของแอลกอฮอล์ในเลือดจะมีอัตราการเสี่ยงอุบัติเหตุสูงขึ้น และหากดื่มจนมีอัตราแอลกอฮอล์สูงขึ้นไปถึง 80 และ 150 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์แล้ว ก็จะมีอัตราความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุสูงขึ้นไปถึง 2-3 เท่าและ 25-50 เท่าของคนที่ไม่ดื่มสุราเลยทีเดียว ในระหว่างการเกิดอุบัติเหตุนั้น ผู้ดื่มสุราจะแสดงพฤติกรรมออกมาก็คือ ก่อนเกิดเหตุสมองของผู้ดื่มจะสั่งการได้ช้า และตัดสินใจหลบอันตรายได้ช้ากว่าคนปกติ ขาดความยั้งคิดไม่คำนึงถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้น ส่วนคนที่เกิดเหตุไปแล้ว มักจะไม่รู้สึกตัวในระหว่างการช่วยเหลือตนเอง ส่วนหลังเกิดเหตุก็มักจะหลบหนีหรือซ่อนตัว หรือมาหาแพทย์ช้ากว่าคนอื่น ๆ คงต้องย้ำเตือนกันอีกครั้งว่าผู้ที่ต้องการดื่มสุรานั้น ควรหลีกเลี่ยงหากจำเป็นต้องขับขี่ยวดยานพาหนะ หากจำเป็นต้องดื่มก็ไม่ควรขับเอง แต่ควรให้เพื่อนที่ไม่ดื่มช่วยขับไปส่งดีกว่า หรือนอนค้างที่บ้านเพื่อนเลย ตลอดจนใช้บริการรถสาธารณะแทนจะปลอดภัยกว่ามาก สุรานั้นแม้จะให้ความสนุก ความสำราญในขณะที่ดื่ม แต่ก็เป็นพิษเป็นภัยในภายหลัง เสียสติปัญญา ทรัพย์สิน สุขภาพ บุคลิกภาพ ทางที่ดี ควรหลีกเลี่ยงการดื่มไปเลยจะดีกว่านะคะ

  • แอลกอฮอล์ในเลือดกับอาการของผู้ที่ดื่ม

    แอลกอฮอล์ในเลือดกับอาการของผู้ที่ดื่ม

    แอลกอฮอล์ในเลือดกับอาการของผู้ที่ดื่ม เครื่องดื่มแอลกอฮฮล์นั้นมีระดับของแอลกอฮอล์ในปริมาณที่แตกต่างกันไป เช่น เบียร์ต่างประเทศนั้นจะมีปริมาณแอลกอฮอล์ร้อยละ 4-6 ขณะที่เบียร์ในประเทศมีประมาณร้อยละ 6-12 สุราทั่วไป จะมีปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ร้อยละ 20-35 ในขณะที่รัมนั้นจะมีแอลกอฮอล์อยู่ถึงร้อยละ 50-60 เลยทีเดียว ซึ่งการตรวจหาปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดนั้นสามารถทำได้หลายวิธี ทั้งการตรวจจากเลือดโดยตรง การตรวจจากปัสสาวะ และการตรวจผ่านทางลมหายใจ ซึ่งในประเทศไทยนั้นระดับเกณฑ์มาตรฐานของแอลกอฮอล์ที่มีในเลือดขณะเป็นผู้ขับรถต้องไม่ต้องเกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ เพื่อป้องกันอุบัติเหตุ หากจะเทียบอาการของผู้ดื่มกับปริมาณของแอลกอฮอล์ในเลือด จะเทียบได้ดังนี้ – หากมีระดับของแอลกอฮอล์ในเลือด 30 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ หรือเท่ากับดื่มเหล้า 4 แก้ว ผสมแก้วละ 1 ฝาแม่โขง ผู้ที่ดื่มจะมีอาการสนุกสนานครื้นเครงเฮฮา – หากมีระดับของแอลกอฮอล์ในเลือด 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ หรือเท่ากับดื่มเหล้า 6 แก้ว ผสมแก้วละ 1 ฝาแม่โขง ผู้ที่ดื่มจะเริ่มสูญเสียการควบคุมการเคลื่อนไหวไป ไม่สามารถควบคุมได้ดีเท่าภาวะปกติ – หากมีระดับของแอลกอฮอล์ในเลือด 100 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ หรือเท่ากับดื่มเหล้า 12 แก้ว ผสมแก้วละ 2…