Author: pure
-
ระวังโรคไข้คอตีบในเด็กอาจทำให้เสียชีวิตได้
ระวังโรคไข้คอตีบในเด็กอาจทำให้เสียชีวิตได้ โรคไข้คอตีบ นั้นเกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อว่า Corynebacterium diphtheriae พบได้มากในระบบทางเดินหายใจ ต่อมทอลซิล กล่องเสียง จมูก ลำคอ สามารถแพร่ระบาดติดต่อกันได้ทางละอองน้ำมูก น้ำลาย เสมหะของผู้ป่วย หรือน้ำนมที่มีเชื้อโรค การใช้ขวดนมร่วมกับเด็กที่เป็นโรค หรือการใช้ภาชนะอื่น ๆ ร่วมกัน พบได้มากในสถานเลี้ยงเด็ก โรงเรียนอนุบาล หรือสถานที่แออัดอื่น ๆ อาการของโรคไข้คอตีบ จะเกิดอย่างรวดเร็วและฉับพลัน เมื่อเชื้อโรคฟักตัวไปแล้วประมาณ 2-5 วันจะเกิดแผ่นเนื้อเยื่อสีขาวหรือสีทาที่ผนังของหลอดคอและต่อมทอลซิล รอบแผ่นมีอาการบวมแดง มีไข้ เจ็บในหลอดคอ ปวดหัว น้ำมูกไหล อ่อนเพลีย และแบ่งลักษณะอาการตามบริเวณที่ติดเชื้อได้ดังนี้ – หากเป็นคอตีบที่กล่องเสียง จะบวมมาก ทำให้หายใจไม่ออก และเสียชีวิตได้ – คอตีบที่โพรงจมูก มีอาการเล็กน้อย มักเป็นเรื้องรัง น้ำมูกข้างใดข้างหนึ่งมีเลือดปน – คอตีบของผิวหนัง มีสะเก็ดสีเหลืองหนาบนปากแผล สะเก็ดจะติดแน่นบนผิวหนัง มีอาการเช่นเดียวกับคอตีบที่ช่องจมูก โรคแทรกซ้อนของไข้คอตีบนั้นอาจทำให้เกิดโรคหัวใจอักเสบ หรือมีการอักเสบของประสาทสมอง หรืออัมพาตจากพิษทางประสาท โรคนี้พบได้มากในเด็กอายุตั้งแต่ 2-5 ขวบ…
-
ฆ่าตัวตาย.. ช่วยได้ก็ควรช่วยก่อน
ฆ่าตัวตาย.. ช่วยได้ก็ควรช่วยก่อน แม้ข่าวฆ่าตัวตายจะไม่มากเท่าข่าวฆ่ากันตาย แต่โดยสถิติจากการสำรวจแล้วปริมาณคนที่ฆ่าตัวตายกลับมีเพิ่มมากขึ้นทุกปี หากเรามีคนที่ใกล้ชิดอยู่ในความทุกข์อย่างยิ่งและมีท่าทีอาจจะปลิดชีวิตตัวเอง เราควรให้ความช่วยเหลือกับเขา แต่จะช่วยอย่างไรดี? วันนี้ขอนำเอาคำแนะนำจากภาควิชาจิตเวชศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดีมาฝากคุณผู้อ่านกันค่ะ – ให้ความสนใจกับคำพูดของเขา อย่าคิดไปเองว่าเขาพูดเล่นหรือเรียกร้องความสนใจ เพราะแม้ในสายตาเราจะมองว่าปัญหาของเขาไม่ได้รุนแรง แต่ต่างคนก็ต่างมีความคิดเห็นต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่เท่ากัน การที่เขาจะฆ่าตัวตายหรือไม่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเรามองว่าปัญหาของเขาเล็กหรือใหญ่ แต่ขึ้นอยู่กับว่าเขามองปัญหาของตัวเองอย่างไร – การฆ่าตัวตายยังไม่ได้เป็นการตัดสินใจที่แน่นอนแล้ว แต่ยังสองจิตสองใจ ลังเลอยู่มาก คนฆ่าตัวตายทุกคนอยากมีชีวิตอยู่ แต่เขาทนทุกข์ทรมานต่อไปไม่ไหว หากได้รับความช่วยเหลือหรือมีคนชี้แนะ เขาก็ยังเปลี่ยนใจได้ – แม้เขาจะไม่พูดออกมา เราก็ควรเข้าหาไปช่วยเหลือก่อน เพราะในช่วงนี้เขาจะอ่อนไหวและเจ็บปวดกับเรื่องราวรอบตัวมาก กลัวไม่มีใครช่วย กลัวการถูกปฏิเสธ กลัวไม่มีใครเข้าใจ ฯลฯ สภาวะจิตใจที่ตกต่ำมากขนาดนี้หากไม่มีคนยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ เขาก็จะจมอยู่ในความทุกข์เช่นนั้นจนอาจตัดสินใจฆ่าตัวตาย – “การฟัง” คือสิ่งที่สำคัญที่สุด บางครั้งคุณไม่จำเป็นต้องทำอะไร แค่ทำให้เขาสบายใจขึ้นชงอะไรอุ่น ๆ ให้ดื่ม หรือน้ำเย็น ๆ ให้สบายใจก็ได้ ให้เขาพูดสิ่งที่อึดอัดออกมา ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องพูดหรือให้กำลังใจอย่างไร ความจริงแล้วการฟังก็คือการแสดงความจริง และความปรารถนาดีในรูปแบบหนึ่ง แล้วทุกอย่างมันจะเป็นไปเองโดยธรรมชาติ เมื่อเขารับรู้ถึงจิตใจที่ดีของเรา เขาจะเปิดใจเล่าให้เราฟังเอง อย่าเพิ่งไปขัดหรือแย้งเขาด้วยมุมมองของเรา ถ้าเขาคิดเหมือนเราก็คงไม่ทุกข์แบบนี้ แค่ให้เขารู้ว่าเราอยู่ข้าง…
-
ออกกำลังกายวันละนิด ป้องกันและพิชิตโรคข้อเสื่อมในอนาคต
ออกกำลังกายวันละนิด ป้องกันและพิชิตโรคข้อเสื่อมในอนาคต ข้อเสื่อมนั้นเป็น โรคที่เกิดจากการเปลี่ยนแปรงรูปร่าง โครงสร้างของกระดูกอ่อนบริเวณข้อต่อ ซึ่งโดยปกติกระดูกอ่อนนี้จะมีความยืดหยุ่น ทำหน้าที่สะท้อนแรงที่กระทำต่อกระดูกข้อต่อทำให้ข้อเคลื่อนไหวได้ดี เมื่อกระดูกอ่อนนี้เสื่อมลง จะทำให้กระดูกจริงเสียดสีกัน มีเสียงดังและมีความเจ็บปวด ประสิทธิภาพในการเคลื่อนไหว รับน้ำหนักและกระจายแรงจึงเสียไป ซึ่งภาวะนี้กว่า 1 ใน 3 ของคนไทยเป็นกันมาก และมีแนวโน้มพบในคนที่อายุน้อยกว่า 40 ปีลงไป พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย เพราะผู้หญิงมีกล้ามเนื้อที่ช่วยรับน้ำหนักที่น้อยกว่า และมีความแข็งแรงน้อยกว่า สาเหตุที่พบคนไทยเป็นโรคข้อเสื่อมมากเพราะน้ำหนักตัวนั่นเอง ทุก ๆ กิโลกรัมที่น้ำหนักร่างกายเพิ่มขึ้น ข้อเข่าจะรับน้ำหนักเพิ่มขึ้นถึง 4-7 กิโลกรัม ยิ่งอ้วนมากข้อก็ยิ่งเสื่อมมากและเร็วไปด้วย ผู้ที่ชอบสวมรองเท้าส้นสูงก็เช่นกัน เพราะต้องเกร็งกล้ามเนื้อขาตลอดเวลาทำให้ข้อเข่ารับน้ำหนักเพิ่ม โรคนี้นั้นเมื่อเป็นแล้วจะทุกข์ทรมานแทบทุกก้าว แรก ๆ จะเริ่มต้นด้วยการเจ็บเวลาขึ้นลงบันได จนในที่สุดจะถึงขั้นขาโก่งและงอเข่าไม่ได้เลย การรักษาข้อเข่าเสื่อมนั้นยังไม่สามารถรักษาได้ ช่วยได้เพียงลดการปวด ไม่ว่าจะเป็นการทำกายภาพบำบัด การบริหารกล้ามเนื้อเข่า การใช้ยา การผ่าตัด การป้องกันโรคข้อเข่าเสื่อมที่ดีที่สุดก็คือต้องระวังน้ำหนัก ไม่ให้อ้วน และหลีกเลี่ยงท่าทางการงอเข่า ไม่ว่าจะเป็นการคุกเข่า การนั่งพับเพียบ หรือนั่งยอง ๆ เวลาขึ้นลงบันไดควรใช้ปลายเท้าแทนการกระแทกเต็มฝ่าเท้าก็จะช่วยผ่อนแรงที่กระทำต่อข้อเข่าลงได้ และเพื่อช่วยให้เข่าสามารถรับน้ำหนักได้ดีขึ้นควรพัฒนากล้ามเนื้อต้นขาให้แข็งแรงขึ้น ลองใช้ท่าทางการบริหารดังนี้ นั่งเหยียดขาตรง…
-
7 ข้อสำคัญเพื่อสุขภาพในช่วงกินเจ
7 ข้อสำคัญเพื่อสุขภาพในช่วงกินเจ เทศกาลกินเจ เป็นประเพณีทางศาสนาพุทธนิกายมหายาน ที่ถือว่าการได้ถือศีลกินเจในช่วงนี้จะเป็นการละเว้นการเบียดเบียนสัตว์อื่น งดการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต และงดการกินเนื้อสัตว์ รักษาศีลปฏิบัติธรรม ซึ่งจะเริ่มต้นตั้งแต่ช่วงวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 9 ไปจนถึงวันขึ้น 9 ค่ำ เดือน 9 ตามปฏิทินจีน เป็นช่วงเวลามหากุศลอย่างยิ่ง อีกทั้งการกินเจก็ยังเป็นกุศลแก่ร่างกายตนเองด้วย แต่ในผู้ที่มีร่างกายไม่สู้แข็งแรงเท่าไรนัก เช่น เด็ก หญิงตั้งครรภ์ ผู้ป่วย การกินเจอาจทำให้ได้รับสารอาหารที่ไม่เพียงพอ การกินเจให้ดีต่อร่างกายจึงควรปฏิบัติตาม 7 ข้อสำคัญดังต่อไปนี้ 1. ผู้ที่กินเจเคร่งครัด ไม่ทานเนื้อสัตว์ ไข่ นม เนย หัวหอม กระเทียม กุ้ยช่ายเลยนั้น ควรทานอาหารประเภทถั่วเหลือง ถั่วแดง ถั่วดำ หรือถั่วชนิด ๆ เสริมโปรตีนและธาตุเหล็กให้กับร่างกาย 2. ส่วนผู้ที่ไม่กินเนื้อสัตว์แต่กินไข่ นมเนย ในกลุ่มนี้ยังได้รับสารอาหารที่เพียงพอ ซึ่งเด็กที่ต้องการกินเจก็น่าจะกินแบบนี้ดีกว่า 3. นอกจากผักแล้ว ควรทานธัญพืชต่าง ๆ ด้วย…
-
ชวนลูกกินผักกัน
ชวนลูกกินผักกัน ผักนั้นเป็นอาหารที่มีราคาประหยัด แต่ให้วิตามิน แร่ธาตุต่าง ๆ สูง มีประโยชน์มาก แต่ก็มีเด็กจำนวนมากเช่นกันที่ไม่ยอมกินผัก การหัดให้ลูกกินผักนั้นควรทำตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่หย่านมตอนหกเดือนเลย เด็กหลังหย่านมนั้น ควรให้เด็กเริ่มทานผักสุกก่อน โดยการนำเอามาบดให้ละเอียดปนไปกับข้าวต้ม โจ๊กหรือข้าวบด ก่อนการให้ผลไม้ เพราะเด็กอาจติดรสหวานจากผลไม้จนไม่ยอมกินผักได้ ให้ป้อนผักและผลไม้ชนิดใหม่ ๆ สัปดาห์ละอย่าง เด็กจะได้คุ้นกับผักผลไม้ไปเรื่อย ๆ และจะกินได้มากเมื่อโตขึ้น ในส่วนของเด็กที่เริ่มเคี้ยวได้แล้ว ควรให้ผักที่ต้มหรือลวกให้สุก จะทำให้ผักนิ่มและหวานอร่อย อาจหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ใส่แกงจืดหรือผสมกับอาหารอื่น เด็กที่อายุมากกว่าสองขวบให้ทานได้ทั้งผักสุกและผักสด เลือกที่มีรสหวานสีสันน่ากินอย่างแครอทหั่นแท่ง หรือแตงกวาหั่นแท่ง ให้เด็กจับกินเองได้ แต่ผักบางชนิดที่ควรลวกหรือต้มก่อนก็มีเหมือนกัน อย่างข้าวโพด กะหล่ำปลี ฟักทอง เป็นต้น แต่สำหรับเด็กโตที่เกินจะเรียนรู้อาหารใหม่แล้ว ผู้ปกครองควรดัดแปลงผักให้มีรสชาติและรูปร่างที่ดูน่ากิน เช่น นำแครอท หรือถั่วผักยาว มาหั่นเป็นท่อนแล้วห่อด้วยกะหล่ำปลีแล้วนำไปนึ่ง หรือนำไปทำแกงจืดหมูสับเต้าหู้ การนำแตงกวาใหญ่มาคว้านออกแล้วใส่หมูทับเข้าแทนนำไปต้มจืด ก็หวานอร่อยเช่นกัน ฯลฯ หากเด็กไม่ยอมกิน ก็ลองมื้อต่อไป จัดผักให้ทานคู่กับอาหารที่เค้าชอบ แล้วผู้ปกครองควรชวนกินด้วยกัน ไม่ควรนำผักกลิ่นฉุนมาให้เด็กลอง เพราะเด็กอาจปฏิเสธผักทุกชนิดไปเลยได้ การชักชวนฝึกหัดให้ลูกกินผักนั้นเป็นสิ่งที่มีผลดีในระยะยาว สร้างนิสัยการกินที่ดี…
-
อาการ โรคหืด และภูมิแพ้
อาการ โรคหืด และภูมิแพ้ ในปัจจุบันคนไทยเราป่วยเป็นโรคภูมิแพ้กันมากขึ้น กว่าครึ่งนั้นจะเป็นโรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจ มีผู้ป่วยที่ป่วยด้วยโรคหอบหืดกว่าร้อยละ 60-80 จะเป็นโรคภูมิแพ้แฝงอยู่ด้วย ในทางตรงข้ามผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ก็มีโอกาสเป็นโรคหอบหืดมากกว่าคนทั่วไปได้ถึงสามเท่า ความรุนแรงของโรคหืดนี้จะเกิดจากสิ่งต่าง ๆ ได้มากมาย โดยเฉพาะกับอาหาร ผู้ป่วยโรคหอบหืดมีโอกาสแพ้อาหารได้มากกว่าคนปกติถึงร้อยละ 52 ผู้ที่มีปฏิกิริยารุนแรงนั้นจะมีอาการหน้าบวม คอบวม หลอดลมหดตัว หายใจไม่ออก ความดันโลหิตต่ำ หรือช็อกจนเสียชีวิตได้ เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วทั้งภายใน 2-3 นาทีจนถึง 2-3 ชั่วโมงหลังกินอาหารเข้าไป ซึ่งไม่สามารถระบุได้ว่ากินอะไรเข้าไปแล้วแพ้ได้ขนาดนั้นด้วย แต่อย่างไรก็ดี ผู้ที่มีอาการรุนแรงขนาดนั้นจะมีอยู่เพียงร้อยละ 5 ของผู้ป่วยโรคหอบหืดทั้งหมด การเกิดปฏิกิริยาต่ออาหารที่แพ้นั้น บางคนแค่ได้กลิ่น หรือลิ้นแตะอาหารก็แพ้ได้แล้ว แต่ละคนอาจเกิดปฏิกิริยาต่ออาหารชนิดเดียวกันแต่ละครั้งไม่เหมือนกันก็ได้ อาหารที่กระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ส่วนใหญ๋ได้แก่อาหารโปรตีน จำพวก นม ไข่ ถั่วต่าง ๆ หอย ปลา และอาหารที่ใส่สารผสม เช่น ซัลไฟท์ที่พบในผลไม้แห้ง ผักกาดแห้ง ผักดอง เครื่องเทศ ไวน์ เบียร์ น้ำมะนาว รวมไปถึงอาหารชนิดอื่น ๆ ที่ผสมสารกันบูด…
-
โรคลมปัจจุบัน หรืออัมพาตครึ่งซีกจะป้องกันได้อย่างไร
โรคลมปัจจุบัน หรืออัมพาตครึ่งซีกจะป้องกันได้อย่างไร โรคลมปัจจุบัน หรือ โรคหลอดเลือดสมอง หรืออาจเรียกว่า โรคลมอัมพาต หรืออัมพาตครึ่งซีกก็ได้นั้น คืออาการที่แขนขาซีกใดซีกหนึ่งอ่อนแรง เป็นอัมพาตขึ้นมาแบบฉับพลัน เมื่อเป็นขึ้นมาควรรีบพาไปโรงพยาบาลโดยด่วน จะช่วยให้หายเป็นปกติหรือลดความรุนแรงของโรคไปได้ โดยโรคนี้นั้นแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม ได้แก่ โรคหลอดเลือดสมองอุดตัน ซึ่งพบได้กว่าร้อยละ 80 และโรคหลอดเลือดสมองแตกพบได้ราวร้อยละ 20 มีภาวะที่อันตรายอาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตอย่างรวดเร็วได้ แต่ละอาการนั้นมีสาเหตุและอาการที่แตกต่างกัน ได้แก่ 1. โรคหลอดเลือดสมองตีบ มักเป็นผู้ที่มีประวัติเป็นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง และเป็นผู้ที่มีพฤติกรรมสูบบุหรี่จัด ดื่มเหล้า เบียร์ แอลกอฮอล์มาก อายุมาก อ้วนมาก หรือมีกรรมพันธ์โรคนี้อยู่ในครอบครัว จะมีอาการแขนขาชา เกร็งตามแขนขา ตามัว มองเห็นภาพซ้อน พูดไม่ได้ ปากเบี้ยว หรือกลืนไม่ได้ร่วมด้วย บางรายอาจปวดหัว เวียนหัวบ้านหมุน หรือมีอาการสับสนก่อนมีอาการอัมพาตตามมา มักมีอาการที่ซีกใดซีกหนึ่งของร่างกายเพียงซีกเดียว 2. โรคหลอดเลือดอุดตัน ที่เกิดจากลิ่มเลือดลอยไปอุดตันที่หลอดเลือดสมอง จะมีอาการเหมือนข้อแรก ผู้ป่วยอาจมีประวัติเป็นโรคหัวใจหรือเคยผ่าตัดหัวใจมาก่อน 3. หลอดเลือดสมองแตก มักเกิดโดยไม่มีสิ่งบอกเหตุ บางรายอาจเกิดขณะทำงานออกแรงมาก หรือขณะมีเพศสัมพันธ์…
-
3 อ. ลดอ้วน ลดโรค
3 อ. ลดอ้วน ลดโรค ปัญหาโรคอ้วน น้ำหนักเกิน นั้นยิ่งนานไปยิ่งพบได้มากขึ้นเรื่อย ๆ นั่นเป็นเพราะวิถีชีวิตของคนเรานั้นไม่เอื้ออำนวยให้ใช้แรงงานเหมือนอย่างสมัยก่อน มีการใช้เครื่องทุ่นแรง เครื่องจักรมาทำงานมากขึ้น คนก็ทำงานนั่งโต๊ะมากกว่าเดิม ไม่ได้ออกกำลังกาย อาหารรึก็ทานแต่ที่มีไขมันและน้ำตาลสูง น้ำหนักตัวจึงทวีเพิ่มขึ้นไม่หยุด รู้สึกตัวอีกทีก็พุงล้ำหน้าไปหลายช่วงตัวแล้ว ดังนั้นก่อนที่จะเกิดโรคขึ้นเพราะความอ้วน หรือแม้แต่ผู้ที่เป็นโรคแล้ว ควรหันมาใส่ใจสุขภาพตนเอง ลดอ้วน ลดโรค ด้วยหลัก 3 อ. ที่ควรทำด้วยตนเองดังต่อไปนี้ อ. ที่หนึ่ง อาหารนั่นเองค่ะ ควรกินให้เป็นเวลาให้ครบมื้อ ไม่ควรอดมื้อใดมื้อหนึ่ง แต่ควรกินในปริมาณที่พอดี ไม่อิ่มจนมากเกินไป ใช้หลักการเลือกทานอาหารดังนี้ – 3 เพิ่ม คือการ เพิ่มเนื้อปลา เพิ่มผัก และเพิ่มน้ำเต้าหู้ – 3 ลด คือการลดการบริโภคแป้ง ลดข้าว และลดผลไม้รสหวานทั้งหลาย – 3 งด คือการงดทานของหวาน ของที่มีไขมันมาก และของทอดทั้งหลาย อ. ที่สอง ก็คือ…
-
คุณประโยชน์ของวิตามินและเส้นใยอาหารในผัก
คุณประโยชน์ของวิตามินและเส้นใยอาหารในผัก การกินผักที่เพียงพอให้ประโยชน์ต่อร่างกายของเรามากนะคะ ยิ่งโดยเฉพาะเส้นใยอาหารและวิตามินในผักแล้วเนี่ย ในแต่ละวันเราควรกินผักทั้งผักสดและผักสุกให้ได้ประมาณ 4-6 ทัพพีต่อวันจึงเข้ามาเกณฑ์ขององค์การอนามัยโลกค่ะ ซึ่งสารอาหารที่เราได้รับจากผักนั้น หลัก ๆ ก็ได้แก่ – ได้รับเส้นใยอาหารอาหาร เส้นใยที่ละลายน้ำได้นั้นช่วยในการดักจับคาร์โบไฮเดรตให้มีการย่อยและดูดซึมช้าลง น้ำตาลในเลือดจึงมีความคงที่ ช่วยจับคอเลสเตอรอลในเลือด ลดอัตราความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน และโรคหัวใจ ส่วนเส้นใยที่ไม่ละลายน้ำจะมีประโยชน์ต่อระบบทางเดินอาหาร ช่วยให้รู้สึกอิ่มได้นานขึ้น ป้องกันและรักษาอาการท้องผูก ช่วยควบคุมน้ำหนัก ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจและมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้อีกด้วย – ได้รับวิตามินเอ ช่วยรักษาสุขภาพดวงตาและการมองเห็น ทำให้ระบบสืบพันธ์ทำงานได้ตามปกติ ส่งเสริมพัฒนาการของร่างกาย ควบคุมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันโรค ทำให้เซลล์ของผนังปอด ลำไส้ ทางเดินปัสสาวะแข็งแรงด้วย ลดการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ – วิตามินซี ช่วยในการสร้างคอลลาเจนทำให้กระดูก ฟัน หลอดเลือด และผิวหนังแข็งแรง รักษาบาดแผล สร้างฮอร์โมนบางชนิด เช่น ฮอร์โมนไทร็อกซินที่ช่วยควบคุมอัตราการเผาผลาญอาหารในร่างกาย ช่วยในการดูดซึมธาตุเหล็ก และเสริมภูมิคุ้มการโรคทั้งยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระป้องกันความเสื่อมถอยของร่างกายได้ – ได้รับวิตามินอี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระไม่ให้มาทำลายเซลล์ได้ ช่วยป้องกันและชะลอการเกิดโรคหัวใจหรือมะเร็ง วิตามินอีพบได้มากในผักโขม บร็อกโคลี หน่อไม้ฝรั่ง การกินผักที่จะทำให้ร่างกายได้รับประโยชน์จริง ๆ นั้นควรทานผักที่ปลอดสารพิษ หรือถ้าเป็นผักที่ปลูกเองยิ่งดีใหญ่…
-
ความสำคัญของการล้างมือ
ความสำคัญของการล้างมือ มือเป็นอวัยวะที่ช่วยให้ร่างกายเราสามารถทำอะไรได้หลายอย่าง ทั้งกิจวัตรส่วนตัว ทำงาน และช่วยเหลือดูแลผู้อื่นด้วย แต่ก็มือนี่เองเช่นกันที่อาจนำเอาเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้ด้วย และยังแพร่กระจายเชื้อไปสู่ผู้อื่นได้อีกเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการเข้าห้องน้ำแล้วไม่ล้างมือ แต่ไปจับราวโหนรถไฟฟ้า ลูกบิดประตู ราวบันไดเลื่อน ฯลฯ เหล่านี้ล้วนเป็นการกระจายเชื้อโรคแทบทั้งนั้น ซึ่งโรคร้ายที่ติดต่อจากการสัมผัสนั้นก็ได้แก่ 1. โรคติดเชื้อทางเดินหายใจ ไม่ว่าจะเป็นหวัด ไข้หวัดใหญ่ วัณโรค หัดเยอรมัน นอกจากจะติดต่อทางลมหายใจแล้ว การหยิบจับสิ่งของใช้ร่วมกัน ก็สามารถแพร่เชื้อได้ด้วย 2. โรคติดเชื้อทางเดินอาหาร แพร่กระจายด้วยการที่ใช้มือที่ปนเปื้อนเชื้อเหล่านี้หยิบจับอาหารเข้าปาก 3. โรคทางการสัมผัส เช่น ตาแดง เชื้อรา แผลอักเสบที่ผิวหนัง หิด เหา เริม 4. โรคติดต่อหลายทาง เช่น อีสุกอีใส อาจติดต่อได้ทั้งลมหายใจและการสัมผัสด้วย โรคทั้งหมดนี้แม้จะพบได้บ่อย แพร่กระจายเชื้อได้ก็มาก แต่การป้องกันแล้วถือว่าได้ผลและแทบไม่ต้องเสียอะไรเลย ซึ่งก็ได้แก่การล้างมือนั่นเอง การล้างมือบ่อย ๆ ป้องกันการระบาดของเชื้อได้หลายชนิด การล้างมือให้สะอาดนี้ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำยาฆ่าเชื้อโรคเลย แค่ใช้น้ำกับสบู่เท่านั้นแล้วล้างให้ทั่วมือให้หมดจด ก็ลดการติดเชื้อได้มากแล้ว ควรหมั่นล้างมือให้เป็นนิสัย ยิ่งโดยเฉพาะก่อนและหลังกิจกรรมเหล่านี้ – หลังการทำงานหนักที่มือต้องสกปรก เช่น…