Author: pure

  • สาเหตุของอาการเป็นไข้ อิงตามตำราแพทย์แผนไทย

    สาเหตุของอาการเป็นไข้ อิงตามตำราแพทย์แผนไทย

    สาเหตุของอาการเป็นไข้ อิงตามตำราแพทย์แผนไทย ตามตำราแพทย์แผนไทยนั้น แบ่งสาเหตุของการเกิดโรคได้แปดข้อดังต่อไปนี้ 1. ทานของแสลง กินอาหารผิดประเภท ไม่ว่าจะเป็นการกินอาหารเผ็ดร้อนมาก ๆ เพิ่มธาตุไฟให้ร่างกาย จึงเป็นไข้ร้อนใน ต่อมน้ำเหลืองอักเสบได้ง่าย กินของมันของทอดมัน จะมีความร้อนสูงและย่อยยาก มักคอแห้งและมักจะร้อนภายในร่างกาย 2. อยู่ในท่าเดิมนาน ๆ หรือเปลี่ยนท่าทีกะทันหัน ทำให้กล้ามเนื้อชั้นลึก ๆ เกิดการอักเสบและมีไข้ 3. เปลี่ยนอุณหภูมิกะทันหัน เช่น ตากฝนแล้วมาตากแดด หรืออยู่ในห้องแอร์แล้วออกไปเจอแดดเปรี้ยงทันที ร่างกายปรับตัวไม่ทัน จึงเป็นไข้ได้ 4. ทานอาหาร น้ำ และนอนไม่พอ ธาตุไฟในร่างกายเสียสมดุล การอดนอนจะทำให้การเผาผลาญเกิดขึ้นตลอดเวลา ธาตุไฟจึงเพิ่มขึ้น ร่างกายจึงร้อนจนเป็นไข้ได้ 5. กลั้นอุจจาระปัสสาวะเป็นประจำ ทำให้กระเพาะปัสสาวะและกรวยไตอักเสบ ก็ทำให้เป็นไข้ได้ด้วย 6. ทำงานมากเกินกำลัง มากกว่าแปดชั่วโมงต่อวันหรือต่อคืน หรือทำงานเกินกว่ากำลังของตนเองแม้จะไม่ถึงแปดชั่วโมงก็ทำให้เป็นไข้ได้ 7. ความหดหู่ใจ เศร้าใจ ความเครียด กระทบธาตุในร่างกาย ส่งผลให้ธาตุลมกับธาตุน้ำเสียสมดุล จึงมีอาการไข้ตามมาได้ 8. มีอารมณ์โกรธ ฉุนเฉียว…

  • ความรู้เกี่ยวกับโรคไมเกรน หรือโรคลมตะกัง

    ความรู้เกี่ยวกับโรคไมเกรน หรือโรคลมตะกัง

    ความรู้เกี่ยวกับโรคไมเกรน หรือโรคลมตะกัง สาเหตุของโรคไมเกรน หรือโรคลมตะกัง นั้นยังไม่ทราบแน่ชัด แต่ทุกครั้งที่อาการกำเริบจะมีการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีในสมอง ทำให้มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของหลอดเลือดและประสาทบนใบหน้า ทำให้หลอดเลือดภายในกะโหลกศรีษะหดตัว แต่หลอดเลือดภายนอกศีรษะ พองตัว ประสาทไวมากขึ้น จึงมีอาการปวดศรีษะและอาการอื่น ๆ ตามมา กว่าร้อยละ 70 นั้นโรคนี้จะถ่ายทอดทางพันธุกรรมด้วย สาเหตุหรือปัจจัยที่กระตุ้นให้โรคกำเริบ มักจะมีอาการปวดหัวเป็นครั้งคราว และทุกครั้งจะมีการกระตุ้นล่วงหน้าเป็นชั่วโมงถึงสองวันเสมอ ผู้ป่วยควรสังเกตตัวเองว่ามีสาเหตุกระตุ้นอะไรบ้าง ซึ่งอาจมีมากกว่าแค่หนึ่งอย่าง ตัวกระตุ้นก็อาทิ แสงแดด แสงจ้า แสงระยิบระยับ หรือการใช้สายตานาน ๆ เสียงดัง เสียงจอแจต่าง ๆ , กลิ่นฉุน ควันบุหรี่ กลิ่นน้ำหอม , อาหารบางชนิด เช่น เครื่องในสัตว์ อาหารทะเล ช็อกโกแลต กล้วยหอม ชูรส น้ำตาลเทียม แอลกอฮอล์ กาแฟ ยาคุมกำเนิด ยานอนหลับ, อากาศที่ร้อนจัด เย็นจัด หิวจัด อิ่มจัด อดนอน หรือนอนมากเกินไป รวมไปถึงความเครียด…

  • อาการตาบอดสามารถรักษาได้หรือไม่?

    อาการตาบอดสามารถรักษาได้หรือไม่?

    อาการตาบอดสามารถรักษาได้หรือไม่? อาการตาบอดนั้น การที่จะบ่งบอกว่าจะรักษาได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับควรรุนแรงของอาการ ซึ่งอาการที่มักรักษาไม่หายมักจะเป็นตาเล็กหรือตาฝ่อแต่กำเนิด ต้อหินรุนแรง หรือตาบอดจากอุบัติเหตุร้ายแรง แต่ปัญหาสายตาบางชนิด เช่น โรคจอประสาทตาบอด ต้อกระจก หรือสายตาผิดปกติเหล่านี้ ก็อาจรักษาได้หายได้ การประเมินว่าตาข้างที่บอดนั้นจะรักษาให้หายได้กลับมามองเห็นได้อีกหรือไม่ มีวิธีทดสอบก็คือการฉายไฟให้สว่างเต็มที่ แล้วส่องเข้าหาตาข้างที่บอด เพื่อทดสอบผู้ป่วยว่าสามารถเห็นแสงไฟเปิดปิดได้บ้างหรือเปล่า หากยังพอมองเห็น แยกออกว่าไฟเปิดหรือไฟปิดได้ ก็แสดงว่ายังพอมีทางรักษาให้หายได้ ให้ปรึกษาจักษุแพทย์เพื่อทดสอบและรับการรักษา ปัจจุบันนี้ ยังไม่สามารถผ่าตัดเปลี่ยนหรือปลูกถ่ายดวงตาใหม่ได้ รวมทั้งจอประสาทตาด้วย ส่วนของดวงตาที่สามารถเปลี่ยนได้มีเพียงกระจกตาดำ ซึ่งต้องรอกระจกตาบริจาคมาแล้วนำมาผ่าตัดเปลี่ยนบริเวณกระจกตา ในส่วนของผู้ที่มีเลนส์ตาขุ่นมัวที่เรียกว่าต้อกระจก สามารถผ่าตัดออกแล้วใส่เลนส์แก้วตาเทียมให้กลับมามองเห็นใหม่ได้อีก การดูแลรักษาดวงตาเพื่อป้องกันอาการตาบอดนั้น ควรดูแลตามวิธีดังต่อไปนี้ – หากทำงานที่เสี่ยงอันตราย ควรสวมหน้ากากหรืออุปกรณ์ป้องกัน รัดเข็มขัดนิรภัยขณะขับรถหรือนั่งรถ เพื่อป้องกันหน้ากระแทกกระจกรถเมื่อเกิดอุบัติเหตุ – ตรวจสุขภาพสายตา และวัดความดันตาเป็นประจำทุกปี โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไปหรือมีคนในครอบครัวเป็นต้อหินมาก่อน – ควบคุมระดับน้ำตาลสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน หรือใช้ยาป้องกันการลดต่ำของภูมิคุ้มกัน CD4+ ในผู้ป่วย HIV ฯลฯ – ไม่ควรซื้อยาหยอดตามาใช้เอง เช่น ยากลุ่มสตีรอยด์ที่อาจทำให้ตาบอดจากต้อหินได้ – หากตาบอดหรือสายตาเลือนรางและจักษุแพทย์ไม่สามารถรักษาให้มองเห็นได้ ควรใช้เครื่องมือช่วยในการใช้สายตา ไม่ว่าจะเป็นกล้องส่องขยาย…

  • นม.. ดื่มแล้วท้องเสีย จะแก้ไขอย่างไรดี

    นม.. ดื่มแล้วท้องเสีย จะแก้ไขอย่างไรดี

    นม.. ดื่มแล้วท้องเสีย จะแก้ไขอย่างไรดี น้ำนมของวัว แพะ แกะ หรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดใดก็ตาม มักเป็นอาหารที่มีประโยชน์มาก มีวิตามิน เกลือแร่ ไขมัน คาร์โบไฮเดรต ที่มีสัดส่วนที่พอดีพอเหมาะสำหรับการเลี้ยงลูกน้อยให้เจริญเติบโตในช่วงที่ยังหาอาหารกินเองไม่ได้ และน้ำนมจากสัตว์หลายชนิดนั้น มนุษยเองก็สามารถนำเอามาดื่มได้ เพราะเป็นการเติมสารอาหารต่าง ๆ ให้กับร่างกาย ดังเช่น น้ำนมวัวเป็นต้น แต่หลายคนกลับดื่มนมวัวแล้วมีปัญหาท้องเสีย ทำให้เลิกดื่มไปเลย จึงเสียโอกาสในการได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์โดยเฉพาะแคลเซียมในนม ซึ่งอาหารอื่นก็สามารถทดแทนได้เช่นกัน แต่ต้องทานในปริมาณมาก แต่ในขณะที่ดื่มนมวันละ 2-3 แก้วต่อวันก็ได้รับเพียงพอแล้ว ซึ่งง่ายและสะดวกกว่ากันมาก แล้วจะทำอย่างไรดีสำหรับคนที่มีอาการท้องเสียเพราะนม การที่ดื่มนมแล้วมีอาการท้องเสีย ท้องเฟ้อ จุกเสียด แน่นท้อง ตดบ่อย ลำไส้ปั่นป่วนนั้น เพราะในน้ำนมสัตว์จะมีน้ำตาลแลคโทสเป็นส่วนประกอบ มนุษย์ทุกคนจะมีน้ำย่อยแลคโทสเหล่านั้นตั้งแต่เกิดจนถึงอายุ 5 ขวบแล้วก็จะค่อย ๆ หมดไป จนไม่สามารถย่อยน้ำตาลในนมหรือน้ำตาลแลคโทสได้ ยิ่งหากไม่ได้ดื่มนมวัวตั้งแต่เด็กก็ยิ่งมีปฏิกิริยามากขึ้นเมื่อเติบโตไป จึงทำให้เกิดอาการดังกล่าวได้เมื่อดื่มนม การแก้ปัญหาผู้ที่มีอาการท้องเสียเพราะนมนี้ ก็คือให้พยายามดื่มวันละน้อย ๆ ก่อน แล้วค่อยเพิ่มขึ้นทีละนิดไปเรื่อย ๆ ควรดื่มหลังอาหารและดื่มร่วมกับอาหารชนิดอื่น ไม่ควรดื่มตอนท้องว่าง เพราะจะทำให้เกิดอาการไม่สบายท้องได้ แต่หากยังมีอาการอยู่…

  • โรคซึมเศร้าในฤดูหนาว

    โรคซึมเศร้าในฤดูหนาว

    โรคซึมเศร้าในฤดูหนาว โรคซึมเศร้าตามฤดูกาล หรือ Seasonal Affective Depression SAD นั้น ไม่ค่อยพบในเมืองไทยมากเท่าไร แต่มักจะพบในประเทศที่มีช่วงฤดูหนาวที่ยาวนาน แต่แม้จะพบได้น้อยแต่ก็ไม่ใช่ไม่พบเลย โดยอาการของโรคก็จะรู้สึกวิตกกังวล ซึมเศร้า หงุดหงิดง่าย ขาดความสนใจในกิจกรรมปกติ ปลีกตัวออกจากสัง และไม่มีสมาธิ รู้สึกหมดเรี่ยวหมดแรง นอนมากขึ้น อยากอาหารมากขึ้น อ้วนขึ้น พบได้มากในผู้ที่มีอายุระหว่าง 20-40 ปี เกิดได้ในเด็ก วัยรุ่น กว่าสามในสี่จะเป็นเพศหญิง สาเหตุของอาการ SAD ยังไม่ชัดเจนนัก แต่คาดว่าน่าจะมีผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของแสงอาทิตย์ ซึ่งในหน้าหนาวจะมีแสงอาทิตย์น้อยลง นาฬิกาชีวภาพในร่างกายจะทำงานช้าลงไปด้วย การหลั่งสารเคมีในสมองก็พลอยช้าตามลงไป การบำบัดโรคนี้นั้น ปัจจุบันมีการนำเอาแสงสีฟ้า (light phototherapy) มาบำบัดควบคู่ไปกับอาการซึมเศร้าด้วย นอกจากนี้แล้วผู้ป่วยควรหันกลับมาดูแลตัวเอง เอาร่างกายเอาจิตใจออกมาอยู่กับธรรมชาติภายนอกมากขึ้น ดีกว่าอุดอู้อยู่แต่ในห้องมืด ๆ รับพลังงานจากแสงอาทิตย์จะทำให้มีชีวิตชีวามากขึ้น จัดเวลาทำงานและเวลาพักผ่อนให้สมดุลกัน ไม่ปล่อยให้ความเครียดเข้าจู่โจม ทานอาหารที่สมดุลกับความต้องการของร่างกาย การออกกำลังกายก็ช่วยให้กระชุ่มกระชวยได้มากขึ้น เข้านอนและตื่นนอนเป็นเวลาและให้พอเพียงกับความต้องการ พูดคุยกับญาติมิตรเพื่อนฝูง หาเวลาไปทำสมาธิ หรือกิจกรรมอื่น ๆ ตามที่ชอบก็ได้

  • แค่ดูแลสมองให้ดี ชีวีก็สุขขึ้นได้

    แค่ดูแลสมองให้ดี ชีวีก็สุขขึ้นได้

    แค่ดูแลสมองให้ดี ชีวีก็สุขขึ้นได้ เพราะการใช้ชีวิตของคนเราในปัจจุบันนี้นั้น ประสบกับความเครียดเป็นอันมาก ไม่ว่าจะมีสาเหตุมาจากการทำมาหากิน การเงิน หรือปัญหาความสัมพันธ์ และยิ่งเมื่อต้องอยู่ร่วมกับสังคมคนหมู่มากแล้วหลายเรื่องก็ยิ่งชวนให้ประสาทเสียมากยิ่งขึ้นไปอีก การปล่อยให้ตัวเองมีความเครียดนาน ๆ นั้นเป็นการทำลายสมองไปโดยไม่รู้ตัว ยิ่งเมื่อทำลายสมองก็ยิ่งทำให้เครียดมากยิ่งขึ้น วนเวียนอยู่อย่างนี้ จนสุขภาพกายสุขภาพใจเสื่อมโทรม ดังนี้แล้วเราเริ่มกลับมาดูแลสมอง กันดีกว่านะคะ ความเครียดจะได้ลดลง และสมองของเราจะได้อยู่กับเราไปนาน ๆ ไม่เป็นอัลไซเมอร์หรือโรคสมองเสื่อมในยามแก่ชราด้วย ความสุขนั้นสามารถเกิดขึ้นได้ง่าย ๆ เพียงบริหารสมองดังต่อไปนี้ 1. หมั่นไปออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การที่เลือดลมไหลเวียนทั่วร่างกาย และการหายใจที่ถูกวิธีเป็นการบำรุงสมองวิธีหนึ่งที่ได้ผลมาก 2. ฝึกสติ นั่งสมาธิ เจริญสติ ให้โอกาสสมองได้พักผ่อน ด้วยความสงบบ้าง 3. ทานผัก ผลไม้สด และปลอดสารพิษให้มากเข้าไว้ทุกวัน และควรทานเนื้อปลาหรืออาหารทะเลที่มีส่วนประกอบของกรดไขมันโอเมก้าสามเพื่อบำรุงสมองทุกวันด้วย 4. พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ เพราะสมองจะทำงานได้ดีหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับการเข้านอนให้พอเพียงด้วย 5. ลองหาอะไรทำ หรือเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ อยู่เสมอ ทำให้สมองตื่นตัวไม่เป็นอัลไซเมอร์ง่าย ๆ 6. ฝึกหัดใช้สมองบ่อยๆ อย่าใช้เครื่องทุ่นแรงมากนัก เช่น คิดเลขด้วยสมอง ด้วยมือ แทนที่จะใช้เครื่องคิดเลข…

  • พึงระวังโรคไวรัสลงลำไส้ ในเด็กอายุ 1 ขวบ

    พึงระวังโรคไวรัสลงลำไส้ ในเด็กอายุ 1 ขวบ

    พึงระวังโรคไวรัสลงลำไส้ ในเด็กอายุ 1 ขวบ อาการท้องเสียในเด็กวัย 2-3 เดือนแรกนั้นมักจะเกิดจากการปนเปื้อนของเชื้อโรค จากการดูแลขวดนมไม่สะอาดเพียงพอ เช่น ไม่ได้ต้มขวดนมหรือจุกนม แต่ในช่วง 4-6 เดือน มักจะเกิดจากการที่เด็กมักชอบหยิบของเข้าปาก หรือชอบดูดนิ้วมือ แต่ในเด็กอายุ 1 ปีขึ้นไปนั้น อาการท้องเสียมักมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อไวรัสที่เรียกกันว่า โรคไวรัสลงลำไส้ ซึ่งเกิดจากอาหารเป็นพิษ โดยมีต้นเหตุคือไวรัสโรต้า โดยเด็กจะมีอาการดังต่อไปนี้ – มีไข้ตัวร้อนสูงมาก – คลื่นไส้อาเจียน – ถ่ายเป็นน้ำ ร่างกายขาดน้ำ – ผิวหนังบริเวณก้นอักเสบ เนื่องเด็กไม่สามารถย่อยน้ำตาลแลกโทสได้ เชื้อไวรัสโรต้านี้เป็นสาเหตุให้เด็กที่อายุน้อยกว่าห้าขวบเป็นโรคท้องเสีย สามารถพบได้บ่อยทั้งปี แต่จะพบได้ถี่ขึ้นในช่วงเดือนธันวาคมถึงเดือนกุมภาพันธุ์ ส่วนเชื้ออื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นอหิวาห์ บิด ไทรอยด์ ที่ทำให้ท้องเสียได้นั้น ในปัจจุบันพบได้น้อยลงแล้วเนื่องจากมีสุขอนามัยที่ดีขึ้น การดูแลรักษาอาการไวรัสลงลำไส้นี้ ควรดูแลในเรื่องของอาการขาดน้ำและรักษาตามอาการ ให้เด็กได้ทานอาหารอ่อน ๆ ดื่มนมและดื่มน้ำเกลือแร่เพื่อเติมน้ำคืนสู่ร่างกายของเด็ก หากอาการของเด็กไม่ดีขึ้นควรรีบพาไปพบพบแพทย์ก่อนที่เด็กจะเสียชีวิตเพราะการขาดน้ำได้

  • หลักการเลือกอาหารใส่บาตร เพื่อให้ได้บุญมากยิ่งขึ้น

    หลักการเลือกอาหารใส่บาตร เพื่อให้ได้บุญมากยิ่งขึ้น

    หลักการเลือกอาหารใส่บาตร เพื่อให้ได้บุญมากยิ่งขึ้น ไม่ได้สอนให้โลภบุญนะคะ แต่จากการที่ได้ไปสนทนากับพระผู้ใหญ่หลายท่าน พบว่าท่านมักจะประสบปัญหาความอ้วน โรคเบาหวาน และความดันโลหิตสูง เนื่องจากอาหารที่บรรดาเหล่าพุทธศาสนิกชนนำไปประเคนนั้นมักจะเป็นอาหารที่ไขมันสูง เช่น แกงกะทิ ไข่พะโล้ ขนมไทยหวาน ๆ ขนมทองหยิบ ทองหยอดต่าง ๆ ซึ่งมีแคลอรี่สูงมาก ทำให้เกิดปัญหาสุขภาพหลายอย่างตามมา ดังนั้นวันนี้เราจะมาแนะนำการเลือกอาหารใส่บาตรเพื่อสุขภาพของพระสงฆ์และเณรน้อยทั้งหลายกันนะคะ ได้บุญกุศลเพิ่มด้วยค่ะ – ควรเลือกอาหารใส่บาตรที่คำนึงถึงสุขภาพ สด สะอาด ปรุงสุกใหม่ และมีไขมันต่ำ ไม่ว่าจะเป็น แกงส้ม แกงเลียง น้ำพริก ผักสด ผักต้ม ปลานึ่ง เป็นต้น – ใส่บาตรด้วยข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ เพราะจะมีเส้นใยอาหารสูงกว่าป้องกันโรคเบาหวานและท้องผูกได้ – พยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่ทำจากเนื้อสัตว์ใหม่ เพราะมีไขมันอิ่มตัวสูง ควรเลือกเนื้อสัตว์ที่ไม่ติดมันมากเกินไปนัก เน้น เนื้อปลา เนื้อไก่ ไข่ขาว เต้าหู้ เป็นต้น – เลี่ยงอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องในสัตว์ ไข่แดง อาหารทะเล เนย…

  • มีเพศสัมพันธ์แต่พอดี…เพื่อถนอมพลังไต

    มีเพศสัมพันธ์แต่พอดี…เพื่อถนอมพลังไต

    มีเพศสัมพันธ์แต่พอดี…เพื่อถนอมพลังไต ตามหลักแพทย์แผนจีนนั้น การทำให้สมรรถภาพทางเพศดีไปได้นาน ๆ นั้นก็คือต้องถนอมพลังไตไว้สูญเสียให้น้อยที่สุด นอกจากนั้นก็คือต้องพยายามไม่ให้สูญเสียสารจิงไปในขณะมีเพศสัมพันธ์ด้วย ซึ่งสารจริงนี้เป็นสารที่จำเป็นในร่างกาย เก็บสะสมไว้ในไต ทำให้ร่างกายเจริญเติบโตควบคุมความสามารถในการสืบพันธุ์ ควบคุมสมดุลของเลือด เสริมสร้างภูมิต้านทานในร่างกาย ซึ่งหลักการมีเพศสัมพันธ์เพื่อป้องกันการสูญเสียสารจิงนั้นมีหลักการดังนี้ 1. หากเป็นวัยหนุ่มสาวเพิ่มแต่งงาน อายุยังไม่ถึง 22 ปี พักผ่อนอย่างเพียงพอ สามารถมีเพศสัมพันธุ์ได้วันละครั้ง 2. ช่วงอายุ 22-25 ปี ไม่ควรมีเพศสัมพันธ์เกิน 3 ครั้งต่อสัปดาห์ 3. ช่วงอายุ 32-35 ปี หรือวัยกลางคนนั้นไม่ควรมีเพศสัมพันธ์เกิน 2 ครั้งต่อสัปดาห์ 4. ช่วงอายุ 40-50 ปี ไม่ควรมีเพศสัมพันธ์เกิน 1 ครั้งต่อสัปดาห์ 5. ช่วงอายุ 50-60 ปี ไม่ควรมีเพศสัมพันธ์เกิน 1 ครั้งต่อเดือน การสังเกตว่าตัวเองและคู่เสียพลังไตมากเกินไปหรือไม่ก็ให้สังเกตในเช้าวันรุ่งขึ้นว่า มีอาการอ่อนเพลีย ไม่ปลอดโปร่ง เมื่อยเอว ประสิทธิภาพการทำงานลดลงหรือเปล่า หากว่ามีอาการ ก็ควรมีเพศสัมพันธ์ให้น้อยลง อีกทั้งยังควรปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้เพื่อถนอมพลังไตไว้ด้วย…

  • ทุกเทศกาล…ต้องมีคนตายเพราะเหล้า

    ทุกเทศกาล…ต้องมีคนตายเพราะเหล้า

    ทุกเทศกาล…ต้องมีคนตายเพราะเหล้า ทุกเทศกาลในประเทศไทยล้วนต้องมีคนเสียชีวิตหลายร้อยคนแทบทุกเทศกาล สาเหตุที่สำคัญประการหนึ่งเลยก็คือเหล้านั้นเอง ทำให้หลายคนหลายครอบครัว ต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก สูญเสียทรัพย์สิน สูญเสียเงินทองในการรักษาพยาบาล ยิ่งหากพิการก็เสียโอกาสในการประกอบอาชีพอีกด้วย ดังนั้นเราจึงไม่สนับสนุนการดื่มสุราทุกประเภท และทุกโอกาสด้วย อีกทั้งการดื่มสุราเป็นเวลานานก็ทำให้เกิดปัญหาสุขภาพได้อีก ไม่ว่าจะเป็นส่วนของตับที่ถูกทำลายจากแอลกอฮอล์ไปเรื่อย ๆ ในผู้ชายที่ดื่มสุรามากกว่า 4 ดื่มต่อวัน หรือผู้หญิงที่ดื่มมากกว่า 3 ดื่มต่อวัน จะเสี่ยงต่อการเป็นโรคแผลในกระเพาะอาหาร มะเร็ง และโรคตับแข็งมากกว่าผู้ที่ไม่ดื่มอย่างชัดเจน ยิ่งหากดื่มเป็นเวลานาน ๆ หลายปีแล้วก็จะยิ่งทำให้สุขภาพทรุดโทรมได้มากกว่าคนอื่นและอาจเสียชีวิตก่อนวัยอันควร และแม้จะยังไม่มีปัญหาสุขภาพก็มักมีปัญหาครอบครัว ปัญหาการงาน และการทะเลาะเบาะแว้ง ซึ่งหากไม่เปลี่ยนนิสัยการดื่มปัญหาก็จะยิ่งรุนแรงมากขึ้น ทั้งตัวผู้ดื่มเองและผู้ที่อยู่ร่วมครอบครัวควรพากันไปปรึกษาแพทย์ นักสังคมสงเคราะห์ หรือผู้บำบัด อีกทั้งคนรอบข้างก็ควรป้องกันและปลูกฝังนิสัยการไม่ดื่มสุราให้กับตนเองและผู้อื่นด้วย ลองทำตามวิธีดังต่อนี้ – ไม่ควรซื้อสุราทุกชนิดเข้ามาในบ้าน หากบังเอิญได้มาให้นำไปเก็บหรือนำไปให้ผู้อื่นเสีย – ไม่ควรอนุญาตให้เยาวชนในครอบครัวดื่ม – ผู้ปกครอง ผู้ใหญ่ไม่ควรดื่มเป็นตัวอย่างให้เด็ก ๆ เห็น – หากไปกินเลี้ยง ควรดื่มเครื่องดื่มอื่นแทน – ในขณะดูทีวี ผู้ปกครองควรให้คำแนะนำเด็ก ๆ ด้วย – ผู้ที่ดื่มสุรา ควรหาทางลด…