Author: pure
-
เข่าเสื่อม.. ยืน เดิน ขยับ ก็เจ็บทุกท่า
เข่าเสื่อม.. ยืน เดิน ขยับ ก็เจ็บทุกท่า โรคข้อเข่าเสื่อม เป็นภาวการณ์สึกกร่อนของกระดูกอ่อนผิวข้อ เนื่องจากความเสื่อมของวัยและการใช้งาน หากผิวข้อมีการเสียดสีกันก็จะทำให้ปวดข้อเข่าตามมา ไม่ว่าจะอยู่ในท่าใด จะยืน เดิน ขยับก็เจ็บไปหมด ซึ่งปัจจัยเสี่ยงของโรคข้อเข่าเสื่อมนั้นได้แก่ ยิ่งอายุมากขึ้นเข่าก็ยิ่งเสื่อมได้มากขึ้น มักพบในเพศหญิงมากกว่าผู้ชายด้วย หากคนในครอบครัวมีอาการข้อเข่าเสื่อม ลูกหลานก็มีสิทธิเป็นโรคนี้ได้มากกว่าปกติ แต่แม้จะยังไม่แก่และในครอบครัวไม่มีใครเป็นโรค น้ำหนักตัวที่เกินมาตรฐานก็ทำให้หัวเข่าต้องรับน้ำหนักและแรงกดทับมากทำให้เสื่อมเร็วได้เช่นกัน รวมไปถึงอุบัติเหตุต่าง ๆ เช่น เอ็นหรือหมอนรองกระดูกเข่าฉีกขาด หรือมีกระดูกผิวข้อแตก เป็นต้น อาการของโรคข้อเข่าเสื่อมที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือ จะมีอาการปวดเข่ามากขึ้นในระหว่างการใช้งาน และจะทุเลาลงในช่วงพักการใช้ขา มีอาการข้อยึดติดซึ่งหากเป็นมากก็อาจทำให้การยืดเหยียดข้อเข่าทำได้ลำบาก ข้อบวมซึ่งอาจเกิดจากเยื่อบุข้ออักเสบหรือมีการสร้างน้ำไขข้อมากขึ้น เวลาเดินหรือเคลื่อนไหวกมักได้ยินเสียงกระดูกเสียดสีกัน หากปล่อยให้เป็นรุนแรงมากขึ้น ก็จะทำให้ข้อผิดรูปหรือขาโก่งได้ และหากมีอาการข้อหลวมด้วยก็จะทำให้รู้สึกไม่ค่อยมั่นคงเวลาเดินหรือยืน กล้ามเนื้อข้อจะมีขนาดเล็กลงและเสื่อมแรงลง ซึ่งโรคข้อเข่าเสื่อมในปัจจุบันนี้ยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ จะมีก็แต่การรักษาเพื่อบรรเทาอาการปวดและทำให้ข้อกลับคืนสภาพที่พอใช้งานได้เท่านั้น รวมทั้งป้องกันหรือแก้ไขการผิดรูปของข้อ โดยแล้วแต่การพิจารณาของแพทย์ตามความเหมาะสมของคนไข้แต่ละคนไป ซึ่งการรักษาจะมีทั้งแบบผ่าตัดและไม่ต้องผ่าตัด การรักษาด้วยวิธีไม่ผ่าตัดนั้น ก็ได้แก่ 1. ปรับวิธีชีวิตประจำวัน หลีกเลี่ยงการทำงานของข้อให้น้อยลง ไม่นั่งคุกเข่า พับเพียบ ยอง ๆ หรือนั่งขัดสมาธิ รวมไปถึงไม่ควรขึ้นลงบันไดด้วยแต่หากจำเป็นก็ขอให้เดินอย่างช้า ๆ ทีละขั้น ไม่ควรยืนหรือนั่งในท่าใดนาน…
-
ใครจะรู้ว่าการวิ่งช่วยให้อายุยืนยาวด้วยนะ
ใครจะรู้ว่าการวิ่งช่วยให้อายุยืนยาวด้วยนะ การวิ่งเป็นการออกกำลังกายที่ให้ผลดีกว่าการออกกำลังกายแบบมีแรงต้านชนิดอื่น ๆ โดยมีผลวิจัยว่าผู้ที่วิ่งออกกำลังกาย วิ่งจ๊อกกิ้งเป็นประจำอาทิตย์ละ 2-3 ครั้งนั้นจะทำให้มีอายุยืนขึ้นอีกหลายปีเลยทีเดียว ผลการวิจัยนี้ถูกเปิดเผยขึ้นในการงานสัมมนาสุขภาพหัวใจ ซึ่งเป็นผลงานจาก Copenhagen City Heart ที่ทำการศึกษาสุขภาพของชายและหญิงมาตั้งแต่ปี 2519 เกือบสองหมื่นคน การวิจัยครั้งนี้พบว่าหากได้วิ่งจ็อกกิ้งเป็นประจำแล้ว จะช่วยให้ผู้ชายอายุยืนขึ้น 6.2 ปี ในขณะที่ผู้หญิงจะอายุยืนขึ้น 5.6 ปี โดยใช้เวลาวิ่งเฉลี่ยต่อสัปดาห์อยู่ที่ 1-2 ชั่วโมง โดยอาจแบ่งเป็นวิ่ง 2-3 ครั้งในแต่ละสัปดาห์ ในส่วนผู้ที่กำลังลดน้ำหนักนั้นการวิ่งจ๊อกกิ้งเบา ๆ ยังให้ผลดีกว่าการออกกำลังกายด้วยแรงต้านแบบอื่น ๆ ที่อาจทำให้ร่างกายบาดเจ็บได้ง่ายและร้ายแรงกว่า นอกจากนี้ผลการวิจัยยังบอกอีกดว่าการออกกำลังกายประเภทแอโรบิกเป็นประจำถึงช่วงวัยกลางคนจะช่วยชะลอความชราลงได้สูงถึง 12 ปี ทำให้ร่างกายดูอ่อนกว่าวัย และกระฉับกระเฉงมากขึ้นในช่วงวัยชรา มากกว่าผู้ที่ไม่ได้ออกกำลังกายอย่างเป็นประจำอีกด้วย
-
8 วิธีดูแลสมอง สร้างความสุขให้กับจิตใจ
8 วิธีดูแลสมอง สร้างความสุขให้กับจิตใจ เพราะจิตใจที่ดีเกิดจากสมองที่มีสุขภาพดีด้วย ดังนั้นเราจึงควรดูแลการงอกใหม่และการปรับเปลี่ยนวงจรใหม่ของเซลล์สมอง เพื่อให้มีสุขภาพจิตที่แข็งแรง ร่าเริง แจ่มใส กระฉับกระเฉง ไม่ขี้หลงขี้ลืม และมีความสุขด้วยค่ะ โดยวิธีการดูแลสมองนั้นมีแปดวิธีง่าย ๆ ดังต่อไปนี้ 1. ออกกำลังกายเป็นประจำสัปดาห์ละ 5 วัน ร่างกายจะหลั่งสารโปรตีนที่ช่วยส่งเสริมกระบวนการงอกใหม่และปรับเปลี่ยนวงจรใหม่ของเซลล์สมองและไม่เป็นอัลไซเมอร์อีกด้วย 2. บริหารจิตใจ ด้วยการทำสมาธิ หรือเล่นโยคะ ฝึกชี่กง ฯลฯ 3. ทานผักผลไม้ให้มาก ทานอาหารที่มีส่วนประกอบของกรดไขมันโอเมก้าสาม ได้แก่ปลาทะเล และปลาน้ำจืดทั้งหลาย น้ำมันมะกอก ฯลฯ 4. พักผ่อน และนอนหลับให้ได้วันละ 6-8 ชั่วโมง หรือมากพอที่จะทำให้สมองสดชื่นแจ่มใส การนอนหลับทำให้สมองผ่อนคลาย จัดระเบียบตัวและและเสริมสร้างความจำในระยะยาวได้ 5. เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อ่านหนังสือค้นคว้า หรือฟังบรรยายต่าง ๆ แล้วบันทึกสิ่งที่เรียนรู้มาให้เป็นนิสัย 6. ฝึกใช้สมอง เช่น เล่มเกมส์ ครอสเวิร์ด ซูโดกุ หมากรุก หมากฮอส ต่อจิกซอว์…
-
แค่แกว่งแขนก็ลดโรคและลดพุงยื่นได้อีกด้วยนะ
แค่แกว่งแขนก็ลดโรคและลดพุงยื่นได้อีกด้วยนะ การแกว่งแขนลดพุงที่ทาง สสส. ออกมารณรงค์กันอยู่พักใหญ่นั้น ให้ผลดีต่อสุขภาพจริง ๆ นะคะ ซึ่งศาสตร์นี้เป็นของแพทย์แผนจีนที่มีมาช้านานแล้ว เป็นการออกกำลังกายที่ง่ายทำได้บ่อย ไม่ต้องมีอุปกรณ์ใด ๆ ด้วย สาเหตุที่การแกว่งแขนรักษาโรคได้ก็เป็นเพราะว่าบริเวณใต้หัวไหล่ที่เรียกว่ารักแร้นั้น คือชุมทางของต่อมน้ำเหลือง หากเราขยับบริเวณนี้ต่อมน้ำเหลืองก็จะขยับไปด้วย ช่วยให้อวัยวะและระบบต่าง ๆ ของร่างกายสะอาดมากขึ้น ขจัดสารพิษ สารเม็ดเลือดขาว สร้างภูมิคุ้มกัน กรองเชื้อโรคได้สารพัดชนิด ซึ่งการทำให้ต่อมน้ำเหลืองทำงานได้อย่างดีไม่มีสะดุดนั้นต้องอาศัยการขยับร่างกายเข้าช่วย หากต่อมน้ำเหลืองติดขัดก็จะทำให้เกิดการอักเสบขึ้นตามจุดต่าง ๆ และเกิดอาการบวมตามจุดที่น้ำเหลืองไหลเวียน ดังนั้นจึงจำเป็นต้องนำเอาขยับแขนมาช่วยกระตุ้นต่อมน้ำเหลืองนั่นเอง การแกว่งแขนมีประโยชน์มาก เพียงแค่ทำวันละ 10 นาทีก็ได้ผลเป็นการออกกำลังกาย ทำให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น สุขภาพแข็งแรงขึ้น อารมณ์ดี แจ่มใส เบิกบาน ยิ่งทำทุกวันก็ยิ่งดี ช่วยลดการสะสมของไขมัน หากเราควบคุมอาหารไปด้วยก็จะช่วยลดพุงได้ ลดความดันโลหิต ช่วยให้ผ่อนคลาย กระปรี้กระเปร่าเพราะได้ยืดเส้นยืดสาย ลดอาการปวดบ่า คอ ไหล่ อาการออฟฟิศซินโดรมทั้งหลายได้ด้วย รวมไปถึงลดน้ำตาลในเลือด ลดโอกาสการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ช่วยชะลอการเสื่อมของเข่า เพราะการแกว่งแขนนั้นไม่มีน้ำหนักกระแทกส่วนเข่าหรือข้อเท้าเหมือนการออกกำลังกายแบบอื่น ขั้นตอนการแกว่งแขนอย่างถูกวิธี ให้ปฏิบัติดังนี้นะคะ เพื่อผลลัพท์ที่เห็นได้ชัดเจนและถูกต้อง 1. ยืนยืดตัวตรง…
-
สารประกอบต่างๆ ในเลือดของเรา
สารประกอบต่างๆ ในเลือดของเรา ในเลือดของเรานั้นประกอบไปด้วยสองส่วนก็คือ – เม็ดเลือด ที่สร้างจากไขกระดูกทั่วร่างกาย มีสามชนิดได้แก่ เม็ดเลือดแดง ทำหน้าที่นำเอาออกซิเจนไปเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ เม็ดเลือดขาว ทำหน้าทำลายสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย และเกร็ดเลือกที่ช่วยให้เลือดแข็งตัวเมื่อเกิดบาดแผลขึ้น – พลาสม่าหรือน้ำเหลือง คือส่วนของของเหลวที่ทำให้เม็ดเลือดลอยตัวมีปริมาณร้อยละ 55 ของเลือดทั้งหมด ช่วยควบคุมคามดันและปริมาณของเลือด ป้องกันเลือดออก และเป็นภูมิคุ้มกันโรคติดต่อด้วย หมู่เลือดต่าง ๆ นั้นแบ่งออกเป็นสี่หมู่ คนไทยกว่าร้อยละ 21.1 มีหมู่เลือดเอ ร้อยละ 34 มีหมู่เลือดบี ร้อยละ 37.6 มีหมู่เลือดโอ และร้อยละ 7.3 มีหมู่เลือดเอบี และยังแบ่งหมู่เลือดออกด้วยระบบอาร์เอชอีก โดยคนไทยนั้นร้อยละ 99.7 จะมีอาร์เอชบวก และที่เหลือคืออาร์เอชลบ ซึ่งมีจำนวนน้อยมากเรียกว่าในพันคนจะมีแค่สามคนเท่านั้น ซึ่งหากท่านต้องการทราบว่าตนเองมีเลือดหมู่อะไร เพียงไปบริจาคโลหิตก็สามารถทราบได้แล้ว และยังเป็นการสร้างกุศลอีกด้วย เพราะสารเลือดนี้แม้วิทยาการจะก้าวหน้าไปขนาดไหนก็ยังไม่สามารถผลิตสารอื่นทดแทนได้เลยต้องขอรับบริจาคจากผู้ใจบุญเท่านั้น โดยทั่วไปแล้วการบริจาคเลือดแต่ละครั้งจะนำเลือดออกเพียง 300-400 ซีซี หรือประมาณร้อยละ 7 เท่านั้น หลังจากนี้ประมาณ 1-2 อาทิตย์ไขกระดูกก็จะสร้างเม็ดเลือดใหม่ขึ้นมาทดแทน…
-
การเตรียมตัวไปพบแพทย์ตามนัด ตอนที่ 2
การเตรียมตัวไปพบแพทย์ตามนัด ตอนที่ 2 ในบางรายที่ได้ทานยาหรืออาหารเสริม สมุนไพร ยาจีน ฯลฯ ที่กินเป็นประจำ ติดตัวไปหาหมอด้วยทุกครั้ง คนไข้บางรายหาหมอหลายคน หลายโรงพยาบาล หรือเพราะมีหลายโรค ก็ให้นำยาที่ได้รับมาจากแต่ละโรงพยาบาลไปหาหมอด้วย ซึ่งจุดนี้คนไข้หลายคนจะเกิดการเกรงใจหมด กลัวหมอดุ หรือเข้าใจไปเองว่าไม่เกี่ยวข้องกัน หรือเกรงใจว่าจะวุ่นวายและเสียเวลาหมอ ฯลฯ กรุณาทำความเข้าใจว่า หากคุณไม่บอกหมอให้หมดหรือนำยาไปให้หมอดู หมอก็อาจจ่ายยาซ้ำซ้อนกับที่คุณเคยได้รับมาแล้ว แม้ว่าชื่อยาและลักษณะเม็ดยาจะไม่เหมือนกันก็ตาม อีกทั้งยาบางชนิดเมื่อทานร่วมกันอาจทำให้ประสิทธิภาพของยาลดลง บางชนิดเสริมกันจนอาจเป็นพิษได้ บางอย่างก็ทำให้คนไข้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้ ดังนั้นไม่ต้องเกรงใจหรือกลัว ให้บอกหมอให้หมดและนำยาไปให้หมอดูด้วยทุกครั้ง ในบางครั้งคนไข้ก็ไม่สามารถปฏิบัติตามหมอหรือกินยาได้ตามที่หมอสั่ง ก็ควรบอกความจริงไป เช่น คนไข้เบาหวานที่มักจะทำตัวดีในช่วงใกล้วันนัดเพื่อให้ผลเลือดดีไม่ถูกหมอดุ แต่ก็หมอก็รู้จนได้ เพราะผลตรวจน้ำตาลในเลือดนั้นจะดีแต่ผลน้ำตาลสะสมจะมากกว่าปกติ รวมไปถึงข้อมูลบางอย่าง เช่นการใช้สารเสพติด การมีเพศสัมพันธ์กับผู้อื่นที่ไม่ใช่ภรรยา สามีของตนเอง หากจำเป็นต้องการวินิจฉัยโรคก็ควรแจ้งให้หมอทราบด้วย ในคนไข้ที่เป็นโรคเรื้อรังควรมีสมุดบันทึกข้อแนะนำติดตัวเอาไว้ เช่น คนไข้เบาหวาน เป็นลมชัก หอบหืดเป็นต้น หากเกิดภาวะวิกฤตฉุกเฉิน จะทำให้ผู้พบเห็นให้การช่วยเหลือได้เร็วขึ้น และควรพกบัตรประชาชนหรือบัตรที่ทำให้รู้ว่าตัวเองเป็นใคร บัตรสิทธารรักษา บัตรข้อมูลโรคประจำตัว ยาที่กินประจำ ยาที่แพ้ หมู่เลือดหรือชื่อที่อยู่บุคคลที่ติดต่อได้เป็นต้น เพื่อความปลอดภัยของตัวคุณเองนะคะ
-
การเตรียมตัวไปพบแพทย์ตามนัด ตอนที่ 1
การเตรียมตัวไปพบแพทย์ตามนัด ตอนที่ 1 สำหรับคนไข้ที่จำเป็นต้องได้รับการนัดตรวจจากแพทย์นั้น คนไข้หรือญาติของคนไข้เองควรจดจำนัดไว้ให้ดีอย่าให้ลืม แม้เดี๋ยวนี้โรงพยาบาลหลายแห่งจะมีระบบการโทรแจ้งเตือนก่อนวันนัดแล้วแต่ก็ยังปรากฎว่ามีคนไข้ลืมนัดอยู่ดี แต่ก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นทุกนัด จะเกิดขึ้นเฉพาะนัดสำคัญเท่านั้น เช่น การนัดผ่าตัด หากคนไข้เองทราบว่าไม่อาจไปพบแพทย์ตามนัดได้ควรโทรแจ้งล่วงหน้า ส่วนบางรายที่กินยาประจำต้องไปตรวจเพื่อรับยาก็ไม่ควรขาดนัดแพทย์บ่อย ๆ แล้วไปซื้อยากินเองเพราะอาจเกิดอันตรายได้ในระยะยาว ในส่วนของคนไข้ก็จำเป็นต้องอ่านใบนัดให้ดีว่าแพทย์นัดไปทำอะไร จะได้เตรียมตัวอย่างถูกต้อง เช่น – นัดเจาะเลือด คนไข้ต้องงดน้ำและอาหารอย่างน้อย 6 ชั่วโมง มิเช่นนั้นผลการตรวจเลือดอาจคลาดเคลื่อนทำให้จัดยาผิดและเป็นอันตรายได้ – นัดตรวจอัลตราซาวด์ช่องท้อง หมออาจให้กลั้นปัสสาวะ เพื่อให้ผลการตรวจออกมาชัดเจน – นัดผ่าตัดเล็ก ควรงดน้ำและงดอาหารตามเวลาที่แพทย์ระบุไว้ ยิ่งเป็นเด็กเล็กยิ่งต้องดูแลให้ใกล้ชิดเพราะอาจดื่มน้ำหรือกินอาหารด้วยความหิวได้ บางรายผู้ปกครองแอบให้เองก็มี เพราะคิดว่าให้เล็กน้อยลงไม่เป็นไร แต่การผ่าตัดนั้นต้องให้ยาชาหรือยานอนหลับ หากในท้องมีน้ำและอาหารอาจต้องเพิ่มยามากขึ้น นอกจากนี้แล้วหากในระหว่างรอเวลามาพบแพทย์ หากมีอาการอื่น ๆ เกิดขึ้น เช่น ปวดมึนหัว หน้ามืด ปวดท้องหลังกินยา หรือหน้าบวม หิวบ่อย กินอาหารได้มากกว่าเดิม ง่วงเวลากลางวัน กลางคืนนอนไม่หลับ ฯลฯ เหล่านี้ควรจดอาการไว้อย่างดีและแจ้งให้หมอทราบ จะช่วยในการรักษาโรคได้มาก หมอจะได้ทราบความคืบหน้าในการรักษาและจัดยาให้ทานได้อย่างถูกต้อง เพื่อปรับการรักษาที่เหมาะสมกับตัวคุณเองให้ดีขึ้นค่ะ
-
ลดเกลือ ลดโซเดียม ลดโรคร้าย
ลดเกลือ ลดโซเดียม ลดโรคร้าย พฤติกรรมกินเค็ม เป็นพฤติกรรมปกติของคนทั่วไป ลองคิดดูสิจะมีสักกี่คนที่ทานข้าวผัดแล้วไม่เติมพริกน้ำปลา ทานไข่เจียวแล้วไม่เหยาะซอสพริก หรือทานไข่ดาวแล้วจะไม่เหยาะซอส ทานก๊วยเตี๋ยวแล้วไม่เติมน้ำปลาเลย ฯลฯ เรียกได้ว่าหาแทบจะไม่พบเลยทีเดียว ซึ่งแม้พฤติกรรมนี้จะดูเป็นเรื่องเคยชิน แต่ความจริงแล้วความเค็มหรือเกลือเหล่านี้กำลังทำร้ายสุขภาพของคุณอยู่ โดยปัจจุบันนี้จากการสำรวจพบว่าคนไทยบริโภคเกลือเข้าสู่ร่างกายมากกว่าที่ร่างกายต้องการถึง 2 เท่า การทานเกลือแบบนี้ไม่ใช่การตักเกลือเป็นช้อนเข้าปาก แต่เกิดจากการปรุงอาหารด้วยเครื่องปรุงที่มีเกลือเป็นส่วนผสม เช่น ซอสปรุงรส กะปิ น้ำปลา ซี่อิ๊ว ซอสมะเขือเทศ ซอสพริก ผงชูรส ซอสหอยนางรส น้ำจิ้มสุกี้ น้ำจิ้มไก่ และผงฟูที่ใช้ทำขนมด้วย ซึ่งจากการสำรวจตามร้านอาหารตามสั่งทั่วไปนั้น อาหารจานเดียวทั้งหลายก็มีปริมาณของเกลือโซเดียมแทบจะเท่ากับปริมาณที่ร่างกายควรบริโภคทั้งวันไปแล้ว นอกเหนือจากนี้อาหารชนิดอื่น ๆ ก็ยังปริมาณของเกลือ หรือโซเดียมมากอีกด้วย เช่น เต้าเจี้ยว ปลาร้า กะปิ ของดอง กุ้งแห้ง อาหารกระป๋อง ปลาเค็ม ปลาตากแห้ง เนื้อตากแห้ง ขนมถุงกรุบกรอบ อาหารแปรรูป น้ำผลไม้ เครื่องดื่มเกลือแร่ น้ำพริก เครื่องจิ้มต่าง ๆ อาหารที่ใส่ผงชูรส อาหารที่ใส่ผงฟู…
-
สารพิษที่ก่อให้เกิดโทษต่อร่างกายจากบุหรี่
สารพิษที่ก่อให้เกิดโทษต่อร่างกายจากบุหรี่ เหตุผลที่การสูบบุหรี่เป็นการทำลายสุขภาพนั้นก็เป็นเพราะว่าในควันบุหรี่ประกอบไปด้วยสารพิษที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ และมีสารก่อมะเร็งไม่ต่ำกว่า 42 ชนิด ซึ่งสารสำคัญที่อันตรายมากได้แก่ – คาร์บอนมอนอกไซด์ เป็นสารที่ทำให้เม็ดเลือดไม่สามารถจับออกซิเจนได้เท่ากับเวลาปกติ หากได้รับมากเกินไปจะทำให้ขาดออกซิเจน มึนงง วิงเวียน เหนื่อยง่าย ตัดสินใจช้าและทำให้เกิดโรคหัวใจได้ – นิโคติน เป็นสารระเหยในบุหรี่ มีฤทธิ์กดประสาทส่วนกลาง ทำให้เกิดการหลั่งอิพิเนฟริน จึงทำให้ความดันเลือดสูงขึ้น หัวใจเต้นเร็วและไม่เป็นจังหวะ หลอดเลือดที่แขนขาหดตัว ทำให้มีไขมันในเส้นเลือดเพิ่มขึ้น ซึ่งก้นกรองที่บุหรี่ไม่ได้ช่วยกรองนิโคตินให้ลดลงแต่อย่างใดเลย – ทาร์ หรือน้ำมันดินนี้จะเป็นคราบข้นเหนียวสีน้ำตาลแก่จากการเผาไห้ของกระดาษและใบยาสูบ เป็นสารก่อมะเร็งหลายชนิด และกว่าครึ่งของน้ำมันดินจะจับที่ปอดทำให้ไอเรื้อรัง มีเสมหะ ในผู้ป่วยโรคมะเร็งปอดนั้นกว่าร้อยละ 90 เป็นผลมาจากการสูบบุหรี่ ผู้ที่สูบบุหรี่มากเกินวันละ 1 ซองนั้นจะมีโอกาสเป็นมะเร็งปอดมากกว่าปกติถึง 5-20 เท่าเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคทางเดินหายใจ ไอเรื้อรัง ไอถี่จนนอนไม่ได้ สารทาร์ยังทำให้เกิดโรคถุงลมโป่งพอง ทำให้หายใจขัดและหอบ และอาจทำให้เสียชีวิตได้ ไม่เพียงเท่านั้น การสูบบุหรี่ยังทำให้เกิดโรคอื่น ๆ ได้อีก ไม่ว่าจะเป็นโรคกระเพาะอาหาร ความดันโลหิตสูง ตับแข็ง โรคปริทนต์ โพรงกระดูกอักเสบ หลอดลมอักเสบ โรคหัวใจ…
-
วัตถุประสงค์ของวันงดสูบบุหรี่โลก
วัตถุประสงค์ของวันงดสูบบุหรี่โลก วันงดสูบบุหรี่โลกนั้นจะจัดขึ้นทุกปีในวันที่ 31 พฤษภาคม เนื่องจากองค์การอนามัยโลกเล็งเห็นถึงอันตรายของการสูบบุหรี่และสุขภาพของผู้สูบบุหรี่ด้วย รวมไปถึงผู้ที่รับควันบุหรี่มือสองทั้งหลาย การประกาศวันงดสูบบุหรี่โลกก็เพื่อกระตุ้นให้ผู้ที่ยังสูบบุหรี่อยู่ได้เลิกเสีย และให้รัฐบาลของแต่ละประเทศรวมไปถึงประชาชนทั้งโลกได้ตระหนักถึงความสำคัญของการเลิกสูบบุหรี่ไปพร้อม ๆ กันด้วย ซึ่งรัฐบาลไทยเองก็ได้ตระหนักถึงความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินจากการเจ็บป่วยด้วยโรคภัยนานาชนิดจากบุหรี่ จึงได้รณรงค์ให้ประชากรไทยเลิกสูบบุหรี่โดยได้มีการพิมพ์คำเตือนและโทษของการสูบบุหรี่ที่ข้างซองมานานแล้ว รวมไปถึงยังมีกฎหมายที่คุ้มครองสุขภาพของประชาชนด้วยได้แก่ – ให้เขตปลอดบุหรี่ที่แท้จริงคือ รถยนต์โดยสารประจำทาง ทั้งแบบแอร์และแบบธรรมดา แท็กซี่ทุกชนิด ตู้รถไฟปรับอากาศ โรงภาพยนตร์ ห้างสรรพสินค้า และสถานที่สาธารณะ รวมไปถึงโรงเรียน มหาวิทยาลัย ห้องสมุด สถานพยาบาล ศูนย์การค้า สถานที่ราชการและรัฐวิสาหกิจ ซึ่งหากจะสูบต้องสูบในที่ที่จัดไว้เฉพาะในเขตสูบบุหรี่เท่านั้น – กำหนดให้เขตปลอดบุหรี่มีพื้นที่อย่างน้อยครึ่งหนึ่งของพื้นที่นั้น ๆ เช่น ภายในตู้รถไฟทั่วไปที่ไม่ใช่แบบแอร์ หรือร้านอาหารทั่วไป โดยเฉพาะบริเวณที่ติดแอร์ พื้นที่สูบบุหรี่ต้องมีพื้นที่ไม่เกินครึ่งหนึ่งของพื้นที่ทั้งหมด – ห้ามจำหน่ายบุหรี่ให้เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี หากฝ่าฝืนจะมีโทษจำคุก 1 เดือนหรือปรับไม่เกิน 2,000 บาท รวมถึงห้ามขายสินค้าอื่นและแถมบุหรี่ให้ หรือขายบุหรี่ให้แล้วแถมสินค้าอื่น และห้ามโฆษณาทั้งทางตรงและทางอ้อมด้วย