Author: pure

  • ทานถั่วป่นและพริกป่นมากเสี่ยงเป็นมะเร็งตับได้นะ

    ทานถั่วป่นและพริกป่นมากเสี่ยงเป็นมะเร็งตับได้นะ

    ทานถั่วป่นและพริกป่นมากเสี่ยงเป็นมะเร็งตับได้นะ นอกจากสารอะฟลาทอกซินจะพบมากในถั่วป่นแล้ว ในพริกป่นก็สามารถพบได้มากเช่นเดียวกัน โดยสารชนิดนี้เป็นสารก่อมะเร็งตับร้ายแรง พบได้ในถั่วลิสงและผลิตภัณฑ์ทำจากถั่วลิสงทุกชนิด รวมไปถึงธัญพืชและผลิตภัณฑ์แปรรูปหลากหลาย เนื่องจากสารพิษอะฟลาทอกซินนี้สามารถทนความร้อนได้ถึง 250 องศาเซลเซียส ดังนั้นแม้จะนำเอามาปรุงอาหารแล้วก็ยังไม่สามารถทำลายสารพิษชนิดนี้ได้อยู่ดี ยิ่งหากเป็นแม่ลูกอ่อนทานอาหารที่มีสารพิษนี้เข้าไป สารพิษจะถ่ายทอดสู่ลูกได้ผ่านทางน้ำนมและทำอันตรายต่อทารก ซึ่งเคยปรากฏในการศึกษาวิจัยมาแล้ว หากจำเป็นต้องทาน ก็ควรเลือกให้ดี เมื่อไปกินอาหารนอกบ้านควรระวังอาหารที่ต้องปรุงรส ไม่ว่าจะเป็น ก๊วยเตี๋ยว ผัดไทย ยำ ฯลฯ หรืออาหารที่ปรุงรสจัดอื่น ๆ หากสังเกตได้ว่าเครื่องปรุงในพวงเครื่องปรุงมีความอับชื้นและมีกลิ่นหืน จับตัวเป็นก้อนและมีสีที่ไม่ปกติ เช่น มีสีเหลืองคล้ำหรือมีเชื้อรา ฯลฯ ก็ไม่ควรตักมาปรุง หลีกเลี่ยงไปเลยจะปลอดภัยกว่า และควรกำชับให้แม่ค้าว่าไม่ใส่ถั่วป่นหรือพริกป่น แต่ให้ปรุงด้วยพริกสดแทน ก็จะได้รสชาติที่เผ็ดร้อนเหมือนกัน

  • 10 ข้อการใช้น้ำมันทอดอาหาร เลี่ยงมะเร็งได้

    10 ข้อการใช้น้ำมันทอดอาหาร เลี่ยงมะเร็งได้

    10 ข้อการใช้น้ำมันทอดอาหาร เลี่ยงมะเร็งได้ อาหารทอดซ้ำเป็นอาหารที่ทำให้เราเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งมากที่สุดชนิดหนึ่ง ยิ่งหากเป็นอาหารที่ซื้อจากผู้ประกอบอาหารขายแล้วก็มักจะใช้น้ำมันทอดซ้ำเพื่อประหยัดต้นทุนเสมอ ดังนั้นการซื้ออาหารจากร้านเหล่านี้จึงทำให้เกิดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งมากกว่าการซื้อหามาปรุงเอง ในส่วนของผู้ที่ปรุงอาหารทานเอง จึงควรระมัดระวังการใช้น้ำมันให้มาก ลองนำเอาวิธีการเหล่านี้ไปใช้เป็นคู่มือการประกอบอาหารของคุณกันนะคะ 1. ควรใช้น้ำมันพืชในการปรุงอาหารมากกว่าน้ำมันสัตว์ เพื่อมิให้เกิดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ 2. ควรใช้น้ำมันที่เหมาะสำหรับการทอดเช่น น้ำมันปาล์มโอเลอิน ที่มีความคงตัวและเกิดควันช้า 3. ไม่ควรใช้น้ำมันข้าวโพด น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันหมู น้ำมันวัว และไขมันอื่น ๆ ทอดอาหาร เพื่อน้ำมันเหล่านี้มีสภาพไม่คงตัวและเสื่อมสภาพเร็ว 4. หากน้ำมันที่ใช้ทอดมีลักษณะที่เปลี่ยนไป เช่น มีกลิ่นเหม็นหืน เหนียวข้น เป็นสีดำ เกิดฟอง ควัน เหม็นไหม้ มีไอน้ำมัน ทำให้ระคายเคืองตาและลำคอ ให้เปลี่ยนน้ำมันทอดใหม่ทันทีอย่าเสียดายค่ะ 5. ในระหว่างและหลังการทอดอาหารควรกรองกากอาหารทิ้งด้วย โดยเฉพาะอาหารที่มีการชุบแป้ง ควรใช้ตะแกรงหรือผ้าขาวบางกรองเศษอาหารและผงขนาดเล็กออกจากน้ำมัน 6. เพื่อลดการแตกตัวของน้ำมันและชะลอการเสื่อมสลายของน้ำมันทอดอาหาร ควรซับน้ำมันส่วนเกินบริเวณผิวหน้าอาหารดิบก่อนจุ่มลงไปทอดในกะทะ 7. ควรทอดอาหารครั้งละไม่มาก เพื่อให้ความร้อนเกิดขึ้นกับน้ำมันน้อยและใช้เวลาการทอดน้อยลง 8. ไม่ควรทอดด้วยไฟแรงเกินไปนัก 9. ควรเปลี่ยนน้ำมันทอดบ่อย ๆ หากทอดอาหารที่มีเครื่องปรุงเป็นเกลือหรือมีเครื่องปรุงจำนวนมาก…

  • ก้าวเข้าสู่การเป็นผู้บริโภคสีเขียวด้วยวิธีง่าย ๆ 4 ข้อ

    ก้าวเข้าสู่การเป็นผู้บริโภคสีเขียวด้วยวิธีง่าย ๆ 4 ข้อ

    ก้าวเข้าสู่การเป็นผู้บริโภคสีเขียวด้วยวิธีง่าย ๆ 4 ข้อ ด้วยภาวะโลกร้อนในทุกวันนี้ทำให้เราควรปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมให้มากขึ้น เพื่อเป็นอีกทางหนึ่งในการช่วยลดโลกร้อนได้ และเพื่อเป็นการช่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมไว้ให้อยู่กับเรานาน ๆ จนถึงชั่วลูกชั่วหลานก็ยังมีทรัพยากรเหลือใช้กันอยู่ ซึ่งบางวิธีนั้นอาจยังทำได้ยากในเมืองไทย แต่ก็ยังน่าสนใจและเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับการมีจิตใจนึกรักษ์โลกด้วยนะคะ 1. ก่อนซื้อสินค้าควรศึกษาที่มาของสินค้าด้วย ด้วยศึกษาข้อมูลของสินค้าและที่มาของวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต เพื่อเป็นตัวเลือกในการพิจารณา รวมไปถึงเชื้อเพลิงและระยะทางในการขนส่งด้วย เพราะเป็นอีกขั้นตอนที่ก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาวะโลกร้อนได้ 2. ศึกษาข้อมูลบนฉลากที่ออกแบบเพื่อรองรับสินค้าเพื่อสิ่งแวดล้อม เดี๋ยวนี้การออกแบบฉลากรับรองสินค้าทางสิ่งแวดล้อมมามากมาย ทั้ง Cradle to Cradle, Energy Star, Forest Stewardship Council แม้แต่ในประเทศไทยก็ยังมีฉลากเขียว หรือฉลากคาร์บอนด้วย ซึ่งฉลากแต่ละประเภทนั้นจะบอกให้เรารู้ว่าจะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากเท่าใดและจะช่วยโลกเราได้ในเรื่องใดบ้าง 3. หัดซื้อให้น้อยลง ยืมหรือแบ่งปันกันให้มากขึ้น การเช่า – ยืมสินค้าจะช่วยลดการผลิตสินค้าและการทำลายสิ่งแวดล้อมได้มากขึ้น เป็นอีกวิธีในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติเอาไว้ ในเมืองไทยยังไม่แพร่หลายเท่าไรนัก แต่ในต่างประเทศมีบริการเช่า-ยืมเหล่านี้กันอยู่มาก คาดว่าในเมืองไทยก็น่าจะเกิดการรวมกลุ่มแบบนี้ได้ไม่ยากด้วย 4. ทดลองใช้ App เพื่อการบริโภคสินค้าท้องถิ่นให้มากขึ้น อาหารมีขั้นตอนที่ทำให้เกิดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาจำนวนไม่น้อย และอาหารก็ยังเป็นสิ่งที่ทุกคนจำเป็นต้องเสียเงินซื้อมากทุ่สดด้วย การใช้ App เพื่อค้นหาสินค้าตามฤดูกาลหรือสินค้าในท้องถิ่นก็เป็นอีกทางในการช่วยลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้อีกทางหนึ่ง ลดก๊าซเรือนกระจก ประหยัดเชื้อเพลิงในการขนส่งด้วย รวมไปถึงการจับจ่ายสินค้าในตลาดสดให้มากกว่าในห้างสรรพสินค้าที่มีต้นทุนทางพลังงานสูง…

  • ปล่อยตัวให้อ้วนตั้งแต่วัยรุ่น เสี่ยงการมะเร็งได้สูงในระยะยาว

    ปล่อยตัวให้อ้วนตั้งแต่วัยรุ่น เสี่ยงการมะเร็งได้สูงในระยะยาว

    ปล่อยตัวให้อ้วนตั้งแต่วัยรุ่น เสี่ยงการมะเร็งได้สูงในระยะยาว มีงานวิจัยที่ระบุว่าเด็กวัยรุ่นที่มีค่าดัชนีมวลกายสูงเกินกว่าค่าเฉลี่ยตั้งแต่ต้น ๆ ของชีวิตจะทำให้มีโอกาสในการเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งสูงกว่าเพื่อนวัยเดียวกันถึงร้อยละ 35 เลยทีเดียว แม้จะโตมาแล้วปรับปรุงดูแลสุขภาพ ออกกำลังกายและเปลี่ยนแปลงการกินอาหารไปแล้ว แต่ความเสี่ยงก็ไม่ได้ลดลงตามไปด้วยเลย ซึ่งการวิจัยหนนี้นั้นเกิดจากการวิเคราะห์ข้อมูลของนักศึกษาชายเกือบสองหมื่นคนที่จบจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดในช่วงปะ 191601950 โดยนักวิจัยจาก Medical Research Council (MRC), University College London และ Harvard School of Public Health พบว่าคนที่อ้วนตั้งแต่อายุ 18 ปีนั้น จะเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากมะเร็งได้มากกว่าผู้ที่มีรูปร่างปกติหรือมีค่า BMI ต่ำ ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า ความอ้วนในช่วงวัยรุ่น ทำให้คนเราเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งในภายหลังแม้ว่าต่อมาจะสามารถลดน้ำหนักได้ในวัยกลางคนแล้ว แต่ความเสี่ยงดังกล่าวก็ยังมีอยู่เท่าเดิม และความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งนี้ก็ยังมากในกลุ่มที่อ้วนในวัยรุ่น มากกว่าอ้วนในวัยกลางคนเสียอีก การวิจัยนี้ทำให้เราทราบว่า การรักษาสุขภาพให้ดีก็ต้องเริ่มต้นรักษาตั้งแต่ช่วงวัยรุ่น ไม่ควรปล่อยตัวให้อ้วน และควบคุมน้ำหนักของร่างกายให้อยู่ในมาตรฐานไว้ตลอดเพื่อลดโอกาสการเป็นมะเร็งด้วย แต่สำหรับในเมืองไทยนั้น พ่อแม่ที่มีลูก ๆ อยู่ในช่วงวัยรุ่น ซึ่งมักจะห่วงสวยงามอยู่แล้ว พ่อแม่ก็ควรแนะนำแนวทางในการลดน้ำหนักที่ถูกต้องให้กับลูก ๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมอาหาร การเลือกทานอาหารที่มีไขมันต่ำ การไปออกกำลังกาย และคอยดูแลไม่ให้ลูกพึ่งการลดน้ำหนักทางลัด ไม่ว่าจะเป็นการกินยา…

  • สรรพคุณมากคุณค่าของเห็ดหลากหลายชนิด

    สรรพคุณมากคุณค่าของเห็ดหลากหลายชนิด

    สรรพคุณมากคุณค่าของเห็ดหลากหลายชนิด ไม่มีใครที่ไม่รู้จักเห็ด พืชที่ชอบขึ้นตามขอนไม้และที่ชื้นแฉะทั้งหลาย มีหลายสายพันธุ์ที่เป็นพิษ แต่ก็มีอีกหลายชนิดที่สามารถนำมาทานได้ และสามารถเพาะพันธุ์ขายได้ด้วย มาดูกันดีกว่าค่ะว่าเห็ดแต่ละชนิดที่เรากินกันอยู่ทุกวันนี้ให้คุณค่าต่อร่างกายอย่างไรกันบ้าง – เห็ดชิตาเกะ หรือเห็ดหอม เป็นยาทางแพทย์แผนจีน รักษาโรคได้หลากหลายชนิด ป้องกันเชื้อไวรัสและการก่อกำเนิดของเซลล์มะเร็งได้ ช่วยลดไขมันในเส้นเลือด ให้กรดอะมิโน ให้วิตามินบี 1 บี 2 และวิตามินดีสูง บำรุงกระดูก มีปริมาณของโซเดียมต่ำจึงเหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคไต ทำให้กระดูกและฟันแข็งแรง ลดกรดในกระเพาะอาหาร บรรเทาหวัดได้ – เห็ดหลินจือ มีคุณสมบัติช่วยต้านมะเร็ง โดยประเทศญี่ปุ่นมักใช้ควบคู่กับการรักษาโรคมะเร็งและโรคชรา เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง โรคความดันโลหิตสูง เป็นต้น – เห็ดหูหนู ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้เม็ดเลือดขาว เพิ่มภูมิต้านทาน รักษาโรคกระเพาะและริดสีดวง บำรุงไตและปอด – เห็ดแชมปิญอง หรือเห็ดกระดุม ช่วยป้องกันและต้านทานมะเร็งเต้านมได้ ช่วยให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนได้น้อยลง จึงลดโอกาสการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านมให้น้อยลงตามไปด้วยนั่นเอง – เห็ดนางฟ้า เห็ดนางรม และเห็ดเป๋าฮื้อ เป็นเห็ดในตระกูลเดียวกัน เชื่อว่าป้องกันโรคไข้หวัด ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต และบรรเทาอาการโรคกระเพาะได้ –…

  • น้ำมันแต่ละชนิด มีคุณค่าต่อร่างกายอย่างไรบ้าง?

    น้ำมันแต่ละชนิด มีคุณค่าต่อร่างกายอย่างไรบ้าง?

    น้ำมันแต่ละชนิด มีคุณค่าต่อร่างกายอย่างไรบ้าง? เดี๋ยวนี้น้ำมันสำหรับปรุงอาหารมีให้เลือกมากมายหลายชนิดเลยนะคะ ซึ่งการเลือกซื้อมาปรุงอาหารบริโภคเนี่ยก็ควรศึกษาให้ดีก่อนค่ะว่าน้ำมันแต่ละชนิดนั้นเหมาะสำหรับทำอาหารชนิดใด ความร้อนในระดับใด และมีประโยชน์อย่างไรต่อร่างกายด้วย วันนี้เราจะมาเรียนรู้ไปด้วยกันค่ะ – น้ำมันมะกอก เป็นน้ำมันที่มีกรดไขมันอิ่มตัวเชิงเดียวมากที่สุด จึงช่วยลดคอเลสเตอรอลได้ มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยยับยั้งการก่อตัวของเซลล์มะเร็ง มีวิตามินเอ และเบต้าแคโรทีนสูง ทำให้ผิวหนังอ่อนเยาว์ ยืดหยุ่นตัวได้ดี ลดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้ แต่ก็มีจุดเกิดควันที่ต่ำ จึงเหมาะสำหรับเป็นน้ำมันสลัด ไม่เหมาะสำหรับการทอด หรืออาหารที่ต้องผ่านความร้อน และมีราคาค่อนข้างสูงกว่าน้ำมันชนิดอื่น ๆ – น้ำมันเมล็ดดอกทานตะวัน อุดมไปด้วยกรดไลโนเลอิก ช่วยลดคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอร์ไรด์ได้ มีวิตามินอีสูงด้วย จึงช่วยในเรื่องของผิวพรรณ แต่เมื่อโดนความร้อนจะเกิดอนุมูลอิสระได้ง่าย จึงเหมาะสำหรับการผัดอาหารที่ใช้ความร้อนเพียงปานกลาง – น้ำมันรำข้าว เป็นน้ำมันที่มีคุณสมบัติคล้ายน้ำมันมะกอก แต่มีราคาไม่แพง มีสารโอรีซานอลมากซึ่งไม่พบในน้ำมันพืชนิดอื่นนัก ช่วยต้านอนุมูลอิสระ และลดระดับของคอเลสเตอรอลในเลือด ช่วยปรับสมดุลในสตรีวัยทองได้ดี – น้ำมันปาล์ม อุดมไปด้วยวิตามินอีและเป็นน้ำมันที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวในระดับปานกลาง ทนความร้อนสูงได้มากกว่าน้ำมันชนิดอื่นจึงเหมาะสำหรับการทอดที่สุด แต่มีกรดไขมันอิ่มตัวและกรดไลโนเลอิกต่ำกว่าน้ำมันพืชชนิดอื่น ๆ อาจทำให้คอเลสเตอรอลสูงได้ – น้ำมันงา มีสารเซซามอลที่มีสรรพคุณช่วยชะลอความชรา ลดความดันโลหิตและการแพร่การจายตัวของเซลล์มะเร็งได้ ป้องกันโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดหัวใจ บรรเทาอาการท้องผูกได้ด้วย

  • โทษของการกินอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ

    โทษของการกินอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ

    โทษของการกินอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ  เดี๋ยวนี้วัฒธรรมการกินอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ เริ่มเข้ามาฮิตพร้อมกับที่อาหารญี่ปุ่นครองตลาดเมืองไทยนะคะ ลืมกันไปหมดสิ้นเลยว่าประเทศไทยเราเคยรณรงค์เรื่องการหลีกเลี่ยงอาหารที่สุก ๆ ดิบ ๆ กันมาก่อน เห่อตามไปกินของดิบแบบญี่ปุ่นกันจนหมด ทั้งจริง ๆ แล้วพิษภัยที่มาจากอาหารที่ปรุงไม่สุกนั้นก็มีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเชื้อไวรัส แบคทีเรีย สารพิษจากเชื้อเหล่านี้ ทำให้มีไข้ ปวดท้อง ท้องเสียได้ พบมากทั้งในลำไส้ของสัตว์ปีกและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม รวมไปถึงอาหารทะเลและหอยหลายชนิดด้วย ยิ่งหากผู้ที่ได้รับเชื้อเป็นเด็ก คนชรา หญิงตั้งครรภ์ ผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอ รวมไปถึงผู้ที่มีภูมิต้านทานต่ำอย่างเป็นมะเร็งอยู่ ก็มีโอกาสที่จะทำให้อาการรุนแรงจนถึงเสียชีวิตได้ด้วย ดังนั้นควรทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ ๆ ไม่ควรทานอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ และต้องปรุงด้วยอุณหภูมิสูงเกิน 100 องศา ก่อนปรุงต้องล้างน้ำให้สะอาดทั้งเนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้ทุกชนิด ล้างแยกกัน แยกเขียง แยกมีดด้วย หลังจากหั่นแล้วก็ควรทำความสะอาดอีกครั้งด้วย และเพราะบ้านเราเป็นเมืองร้อน ในส่วนของอาหารที่ปรุงสุกแล้วเมื่อตั้งให้เย็นแล้วยังไม่ได้ทานควรนำเข้าตู้เย็นภายในสี่ชั่วโมง เพราะหากตั้งไว้นานเกินอาจทำให้เชื้อโรคก่อนตัว หรือสร้างสารพิษขึ้นมาในช่วงนั้นได้ และหากจะนำมาทานใหม่ก็ควรอุ่นให้เดือดทั่วถึงอีกครั้ง ขอให้ทราบไว้ว่านอกจากเชื้อแบคทีเรีย หรือเชื้อไวรัสต่าง…

  • มาเดินเร็วเพื่อสุขภาพกันเถอะ

    มาเดินเร็วเพื่อสุขภาพกันเถอะ

    มาเดินเร็วเพื่อสุขภาพกันเถอะ การเดินนั้น สามารถแบ่งออกได้เป็นสามระยะด้วยกันก็คือ… – เดินช้า ๆ ก็คือการเดินแบบสบาย ๆ เดินช้อปปิ้ง เดินชมนกชมไม้ เดินเล่นในสวนสาธารณะ ยังสามารถพูดคุยได้ตามปกติ หรือเดินร้องเพลงได้ – เดินเร็ว จะมีอัตราการเดินของคนปกติอยู่ที่ปราว 400-700 เมตรในเวลา 6 นาที เดินเร็วจะร้องเพลงหรือผิวปาก ฮัมเพลงไม่ได้แล้ว หากยังทำได้แสดงว่าเดินช้าไป แต่ถ้าเดินเร็วมากจนพูดไม่รู้เรื่องแล้วนั่นคือเร็วเกิน – เดินแข่ง เป็นการเดินเพื่อการแข่งขัน จะเดินจนพูดไม่เป็นคำ พูดไม่รู้เรื่อง หอบเหนื่อย หายใจไม่ทัน เป็นกิจกรรมสำหรับสร้างความแข็งแรง ยืดหยุ่น ทนทานให้ร่างกาย เพื่อป้องกันหรือรักษาโรคด้วย ซึ่งการเดินที่จะแนะนำในวันนี้ก็คือแบบที่สองนั่นเองค่ะ ควรเดินให้ได้ครั้งละ 10 นาที ในหนึ่งวันรวมให้ได้ 30 นาที และสัปดาห์ละ 5 วันขึ้นไปจึงจะเห็นผล มีประโยชน์มากต่อร่างกายเพราะช่วยควบคุมน้ำหนัก ควบคุมไขมัน คอเลสเตอรอล ป้องกันและลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด ป้องกันกระดูกพรุนกระดูกบาง เพื่อความแข็งแกร่งทนทานของกล้ามเนื้อ นอกจากนี้ยังลดการเกิดโรคเบาหวานและอัตราการเป็นมะเร็งได้หลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งเต้านม…

  • การตรวจร่างกายก่อนแต่งงาน แพทย์จะตรวจอะไรบ้าง?

    การตรวจร่างกายก่อนแต่งงาน แพทย์จะตรวจอะไรบ้าง?

    การตรวจร่างกายก่อนแต่งงาน แพทย์จะตรวจอะไรบ้าง? การเตรียมตัวไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลก่อนสมรสนั้น โรงพยาบาลแทบทุกแห่งล้วนมีบริการนี้ทั้งสิ้น ซึ่งนอกจากตรวจสุขภาพ โรคติดต่อต่าง ๆ ทางเพศสัมพันธ์แล้วก็ยังให้คำแนะนำในการเตรียมตัวมีบุตรด้วย แล้วขั้นตอนการตวจเข้ามีอะไรบ้าง มาดูกันนะคะ การตรวจสุขภาพก่อนสมรสนั้น คุณผู้หญิงทั้งหลายไม่ต้องกลัวไปค่ะ ไม่ใช่ว่าไปพบหมอสูตินรีแพทย์แล้วจะต้องโดนตรวจภายในทุกครั้ง แต่เขาจะตรวจสุขภาพว่ามีความแข็งแรงขนาดไหนเท่านั้นเอง จะมีการชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง วัดความดัน เจาะเลือด หาความเข้มข้มของเลือดและภาวะเลือดจางด้วย ซึ่งในส่วนของผู้ที่ภายในครอบครัวมีประวัติเลือดจางมาก่อนก็จะได้รับการตรวจ Haemoglobin typing นอกจากนี้แล้วก้๗มีการตรวจดูหมู่โลหิต ดูว่าเป็นกลุ่ม Rh ใด มีลักษณะของเม็ดเลือดขาว น้ำตาลในเลือดหรือมีเชื้อเลือดบวกซิฟิลิสหรือเอดส์ด้วยหรือไม่ ตรวจภูมิคุ้มกันเชื้อหัดเยอรมัน เชื้อไวรัสตับอักเสบบี หากยังไม่มีภูมิคุ้มกัน คุณหมอก็จะเสริมภูมิให้เลยจะได้ไม่มีปัญหาในการตั้งครรภ์ หากทั้งคู่ต้องการให้ฝ่ายหญิงคุมกำเนิด คุณหมอก็จะให้คำปรึกษาเรื่องการคุม มีทั้งการกินยาคุมกำเนิดและการฉีดยาคุมกำเนิด ซึ่งยากินคุมกำเนิดนี้ไม่ควรซื้อกินเองเพราะหากมีโรคบางโรคอยู่ก่อน ก็อาจทำให้ลุกลามได้ เช่น หากเป็นเนื้องอกเต้านม มดลูก หรือรังไข่อยู่ หากกินยาคุมสุ่มสี่สุ่มห้า ก็อาจกลายเป็นเนื้อร้ายได้ ดังนั้นแพทย์ก็จะตรวจร่างกายในส่วนเหล่านี้ทั้งหมดด้วย และแพทย์จะให้คำปรึกษาให้ด้านการคุมกำเนิด ว่าแต่ละวิธีและแต่ละฝ่ายนั้น ใครควรคุมกำเนิดไว้ และคุมอย่างไร นานเท่าไร มีข้อดีข้อเสียอย่างไร รวมไปถึงหากต้องการมีบุตรแล้วจะต้องทำอย่างไรด้วย ซึ่งก็ขึ้นอยู่ความสะดวกของคู่สมรสด้วยค่ะ

  • 9 วิธีเก็บเห็ดป่าอย่างไรไม่เจอเห็ดพิษ

    9 วิธีเก็บเห็ดป่าอย่างไรไม่เจอเห็ดพิษ

    9 วิธีเก็บเห็ดป่าอย่างไรไม่เจอเห็ดพิษ 1. ก่อนจะเก็บเห็ดมากินเราต้องแน่ใจก่อนว่าเห็ดนั้นกินได้ ไม่ควรเก็บเห็ดมากินเองโดยไม่รู้จริง เพราะอาจโดนพิษเห็ดถึงตายได้ 2. เก็บเห็ดให้ขุดลึกถึงราก เพราะหากเก็บเห็ดแต่ด้านบนแล้ว อาจทำให้ไม่ทราบว่าเป็นเห็ดพิษได้ เห็ดบางตระกูลหากไม่ขุดให้ถึงรากจะจำแนกลำบากว่าเป็นเห็ดมีพิษหรือไม่มีพิษกันแน่ 3. ควรเก็บเห็ดที่สมบูรณ์แล้วไม่ควรเก็บเห็ดที่อ่อนเกิดไป เพราะอาจจำแนกชนิดได้ยาก ไม่ควรเก็บเห็ดที่แก่จัดหรือเริ่มเน่าเปื่อย เพราะเห็ดที่ทานได้นั้นเหมือนเป็นเห็ดแก่อาจเปลี่ยนแปลงจนเกิดพิษได้ด้วย 4. เวลาเก็บเห็ดควรแยกเป็นชั้นให้ชัดเจน โดยนำกระดาษรองไว้ในตะกร้า เพื่อป้องกันการปนเปื้อนกรณีเผลอเก็บเห็ดพิษปะปนมาด้วย 5. อย่าเก็บเห็ดหลังจากเกิดพายุฝน เพราะเห็ดบางชนิดอาจถูกฝนชะล้างสีสันบนหมวกเห็ดไปหมดจนจำแนกไม่ได้ว่าเป็นเห็ดพิษหรือไม่ 6. หลังจากเก็บเห็ดมาแล้วควรปรุงอาหารเลย อย่าเก็บไว้นานเพราะเห็ดจะเน่าเสียได้ และห้ามกินเห็ดดิบเด็ดขาดแม้จะเป็นเห็ดที่เคยกินแล้วว่าไม่มีพิษก็ตาม 7. ในเห็ดที่ไม่เคยกินมาก่อน ให้ทดลองกินแต่น้อยในครั้งแรก เพราะคนเรามีร่างกายที่ไม่เหมือนกัน เห็ดบางชนิดกับคนอื่นไม่เป็นพิษ แต่กับเราอาจเป็นพิษก็ได้ 8. ไม่ควรเก็บเห็ดที่ขึ้นบริเวณโรงงานสารเคมี ข้างถนน หรือสนามกอล์ฟ เพราะเห็ดและเชื้อราบางชนิดมีคุณสมบัติดูดสารพิษปนเปื้อนและโลหะหนักได้ง่าย 9. ไม่ควรทานเห็ดที่เป็นสีน้ำตาล เห็ดที่มีหมวกเห็ดสีขาว มีปลอกหุ้มโคน มีวงแหวนใต้หมวก มีโคนอวบใหญ่ เห็ดที่มีปุ่มปม มีหมวกเห็ดเป็นรูป ๆ แทนที่จะเป็นช่องคล้ายครีบปลา เห็ดที่มีลักษณะคล้ายสมองหรืออานม้า และเห็ดที่ขึ้นที่มูลสัตว์หรือใกล้เคียง เพราะเหล่านี้เป็นเห็ดมีพิษ